แกะรอยยุทธศาสตร์การปฏิวัติประชาธิปไตยมหาชน
โดย สุวินัย ภรณวลัย
การเข้าใจ วิธีคิด ของบรรดา “นักปฏิวัติ ‘ประชาธิปไตยมหาชน’ ที่กำลังเคลื่อนไหวกันอย่างคึกคักในขณะนี้ มีความสำคัญมากต่อการทำความเข้าใจ วิกฤตการณ์ทางการเมืองที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งรัฐบาลสุรยุทธ์ยังขาดความตระหนักในความรุนแรงของวิกฤตครั้งนี้
พวก “นักปฏิวัติประชาธิปไตยมหาชน” เหล่านี้ มองว่า การเคลื่อนไหวของขุมพลังพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในการต่อสู้กับระบอบทักษิณในช่วงปลายปี 2548 ถึงเดือนกันยายน 2549 เป็นเพียง ความต้องการหวนกลับไปสู่จารีตนิยม และอำนาจนิยมขวาจัด ของ พวกปัญญาชนชั้นกลางไทย ที่เป็นแกนนำในการโค่นระบอบทักษิณเท่านั้น
พวก “นักปฏิวัติประชาธิปไตยมหาชน” เหล่านี้ วาดภาพเอาเองว่า ปัญญชนชั้นกลางไทยที่เป็นหัวหอกในการต่อต้านระบอบทักษิณนี้ เป็นพวก ขวาจัด เพราะเชิดชูกษัตริย์นิยม เชิดชู ‘ชาวบ้านนิยม’ ‘ท้องถิ่นชุมชน’ และ ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ และด้วยเหตุนี้จึงเป็นพวกอนุรักษนิยม ปฏิเสธประชาธิปไตยและคลั่งชาติ คลั่งความเป็นไทย
พวกเขายัง “บิดเบือน” ต่อไปอีกว่า เพราะฉะนั้น ปัญญาชนชั้นกลางไทยพวกนี้ จึงเป็นพวกที่ “ปฏิเสธทุนนิยม และต่อต้านโลกาภิวัตน์” จึงเป็นพวกที่ “ล้าหลัง”
เพราะมีแต่การวาดภาพอย่างบิดเบือน อย่างด้านเดียว และเต็มไปด้วยอคติเช่นนี้เท่านั้น พวกเขาจึงสามารถปลุกปลอบตัวเอง สามารถหลอกตัวเอง และหลอกประชาชนคนอื่นให้หลงเชื่อตาม เพื่อออกมาเคลื่อนไหวในเชิงที่เป็น “ปฏิปักษ์” ต่ออำนาจรัฐและบ้านเมืองได้
ในอีกด้านหนึ่ง พวก “นักปฏิวัติประชาธิปไตยมหาชน” เหล่านี้ก็ได้ “สร้างภาพ” ระบอบทักษิณอย่างสุดหรูว่าเป็น ตัวแทนของทุนใหม่ ซึ่งเป็น “ทุนปฏิรูปโลกาภิวัตน์” ดังนั้น จึงมีความเป็นประชาธิปไตยกว่า มีความก้าวหน้ากว่า และมีความเป็นธรรมทางสังคมมากกว่า เพราะเอื้อประโยชน์ให้แก่ชนชั้นล่าง ทั้งในเมืองและในชนบทมากกว่า
เพราะมีความเข้าใจเช่นนี้เอง พวกเขาจึงกล้าเรียกร้องให้ทำ “สงครามประชาชน” กับอำนาจรัฐ กล้าแม้กระทั่งเรียกร้องให้โค่นล้ม “ระบอบอมาตยาธิปไตยอันมีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นตัวแทน” เพื่อสร้าง “ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงของประชาชน” ขึ้นมา ขณะนี้พวกเขากำลังเคลื่อนไหวในเชิง ขบวนการปฏิวัติประชาธิปไตยมหาชน อย่างเปิดเผย อย่างโจ่งแจ้ง และอย่างท้าทาย โดยใช้ตรรกะอย่างง่ายๆ และบิดเบือนอย่างข้างต้นเท่านั้น โดยมีสูตรสำเร็จแค่ “ศักดินาล้าหลังกับทุนนิยมก้าวหน้า” “อำนาจนิยมกับประชาธิปไตย” และ “ต่อต้านโลกาภิวัตน์กับสนับสนุนโลกาภิวัตน์”
พวกเขาละเลย และมองข้ามความซับซ้อนของความเป็นจริง ลดทอนมิติต่างๆ ที่หลากหลายในความเป็นจริง ใช้วิธีคิดแบบ “ตัดขาให้ได้ขนาดเท่ากับเตียงนอน” ยัดเยียดทุกอย่างให้อยู่ภายในกรอบการมองที่คับแคบ และด้านเดียวของพวกเขาเท่านั้น
ลำพังแค่ความด้านเดียวและคับแคบของวิธีคิดของ อดีตนักปฏิวัติอารมณ์ค้าง ดังข้างต้นจะไม่เป็นผลร้ายต่อสังคมโดยรวมแต่อย่างใดเลย ถ้ามันเป็นแค่ความเชื่อ และความคิดของปัญญาชนกลุ่มหนึ่ง แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ วิธีคิดแบบนี้ ถูกเชิดชูขึ้นมาอย่างจงใจ ให้เป็น “ธงปฏิวัติ” เพื่อ “ประชาธิปไตยของปวงประชามหาชน” อย่างเป็นขบวนการ โดยมีการส่ง “ท่อน้ำเลี้ยง” อย่างไม่อั้นจากอดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกรัฐประหาร ในวันที่ 19 กันยายน 2549
สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ จึงไม่อาจดูเบาได้อีกต่อไป เพราะขณะนี้อาจเรียกได้ว่า ประเทศนี้กำลังเผชิญกับ ภัยคุกคามของอุดมการณ์คอมมิวนิสต์คืนชีพ ภายใต้โฉมหน้า “การปฏิวัติประชาธิปไตยมหาชน” ที่กำลังท้าทายอำนาจรัฐ และระบบคิดของสังคมนี้อย่างรุนแรง ซึ่งในด้านหนึ่งรุนแรงกว่าเหตุการณ์ก่อการร้ายที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เสียอีก เพราะมันมี การต่อสู้เชิงอุดมการณ์ ดำรงอยู่ด้วย
ในวิชาหมากล้อมนั้น การเดินหมากพลาดเพียงหมากเดียว สถานการณ์อาจพลิกกลับจากได้เปรียบกลับเป็นพ่ายแพ้ ทั้งกระดานได้ฉันใด การเพิกเฉยดูเบา ภัยของอุดมการณ์ “การปฏิวัติประชาธิปไตยมหาชน” ที่กำลังเคลื่อนไหวอย่างเป็นขบวนการอยู่ในขณะนี้ อาจนำไปสู่ ผลลัพธ์ที่อำนาจรัฐคาดไม่ถึงก็เป็นได้ นั่นคือ การเกิด “สงครามประชาชน” รูปแบบใหม่ ซึ่งจะเป็น “สงครามยืดเยื้อ” และ “ขบวนการใต้ดิน” ที่จะบ่อนทำลายความมั่นคง และความมั่งคั่งของประเทศนี้ เหมือนอย่างที่ประเทศนี้เคยประสบมาแล้วกับขบวนการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในอดีต
เป็นความจำเป็นและเร่งด่วนอย่างยิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่จะต้อง “รู้ทัน” ภัยคุกคามจาก อุดมการณ์ปฏิวัติประชาธิปไตยมหาชนที่ “หลงผิด” อย่าง “บริสุทธิ์ใจ” ของบรรดานักปฏิวัติอารมณ์ค้างเหล่านี้
อย่าไว้ใจ คมช.และรัฐบาลฤาษี ว่าจะแก้ไขวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ได้ เพราะวิธีคิดของ “ผู้นำ” กลุ่มนี้ ก็ยังไม่ตกผลึกพอ และยังไม่ได้ตระหนักถึงภัยคุกคามของอุดมการณ์ “การปฏิวัติประชาธิปไตยมหาชน” นี้อย่างเพียงพอ เพราะพวกเขาก็หลงผิดไปกับ “ลัทธิสมานฉันท์” ที่หลอกตัวเองไปวันๆ อยู่เช่นกัน
มีแต่ประชาชนผู้ “รู้ทัน” และมี “ปัญญา” เท่านั้นที่จะสามารถหยุดยั้ง “สงครามประชาชน” รูปแบบใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ได้
และมีแต่การต่อสู้ทางความคิด และทางวาทกรรมเท่านั้น ที่จะทำให้สังคมนี้สามารถฟันฝ่าวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ได้
(จากผู้จัดการออนไลน์) 23 / 5 / 2550