การทำงานใหญ่ๆ อย่างการดูแลสุขภาวะของคนทุกคนจะเป็นเรื่องที่ทำได้เองอย่างสมบูรณ์แบบโดยอัตโนมัติ”
นายแพทย์โรเจอร์ จาห์นคี
รายงานสำรวจสถานการณ์มะเร็งล่าสุดในประเทศไทย โดยมะเร็งวิทยา สมาคมแห่งประเทศไทย จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ปัจจุบันคนไทยเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเป็นอันดับที่ 1 และหากเปรียบเทียบการสำรวจระหว่างปี พ.ศ. 2541-2543 ซึ่งพบผู้ป่วยมะเร็ง 195,780 ราย หรือ 65,260 รายต่อปี กับการสำรวจระหว่างปี พ.ศ. 2544-2546 ซึ่งพบผู้ป่วยมะเร็ง 241,051 ราย หรือ 80,350 รายต่อปีแล้ว อัตราการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งได้สูงขึ้นถึง 23% โดยมะเร็งที่พบในผู้ชายนั้น มะเร็งตับ และทางเดินน้ำดี พบเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ตามลำดับ
ขณะที่ผู้หญิงพบมะเร็งเต้านมเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งตับและทางเดินน้ำดี มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่ตามลำดับ อนึ่ง สถิติข้างต้นนี้ ยังสอดคล้องกับจำนวนผู้ป่วยมะเร็งที่เข้ารักษาในโรงเรียนแพทย์ต่างๆ ในปัจจุบันอีกด้วย โดยมะเร็งที่พบบ่อย 3 อันดับแรก คือ มะเร็งเต้านม มะเร็งตับ และมะเร็งปอด ในปี พ.ศ. 2552 คนไทยที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งมีถึง 56,058 ราย หรือ 88.34 รายต่อประชากร 1 แสนราย หรือคิดเป็น 156 รายต่อวัน โดยเพิ่มขึ้นประมาณ 10.7% เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2548
เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน ผมมีรุ่นพี่ที่ผมรักและเคารพมากคนหนึ่งเป็นมะเร็งตับในขั้นสุดท้าย หากชีวิตคือละคร การมีคนรู้จักหรือคนที่เรารักเป็นมะเร็งในขั้นสุดท้าย ถือเป็นฉากชีวิตฉากหนึ่งที่แสนรันทดใจ เพราะจากคนที่เคยแข็งแรงมาก สามารถทำงานหนักอย่างหามรุ่งหามค่ำ สูบบุหรี่ กินเหล้าจัด ใช้ชีวิตอย่างสมบุกสมบันได้โดยแทบไม่เคยเจ็บป่วย แม้เป็นแค่ไข้หวัด แต่ภายในเวลาไม่กี่เดือนเท่านั้น กลับกลายมาเป็นคนละคน ร่างกายผ่ายผอม น้ำหนักตัวลดลงฮวบฮาบ ผมหงอกขาวและบางในวัยแค่ต้นสี่สิบ เวลาเดินไร้เรี่ยวแรงราวกับคนแก่อายุสักเจ็ดสิบ ดวงตาไร้ประกาย ขาดความคึกคักดังที่เคยมี และมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงเป็นพักๆ ใบหน้าที่เคยผ่องใสกลับเป็นสีดำคล้ำ ฝ่ามือทั้งสองข้างเป็นจ้ำๆ สีช้ำเลือดช้ำหนอง เมื่อตัดสินใจไปหาหมอและเช็กร่างกายโดยละเอียด จึงพบว่า เป็นมะเร็งตับในขั้นสุดท้าย
เมื่อผมไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล ผมแทบจำเขาไม่ได้เลย เพราะร่างกายของเขากลายเป็นสีเหลืองทั้งตัว ท้องโตเหมือนเด็กที่เป็นตานขโมย ใบหน้าซูบ ผมแห้งราวกับถูกสูบเลือดจากร่างกายไปจนเหลือแต่โครงกระดูกเท่านั้น ผมถึงกับต้องเบือนหน้าไปทางอื่น และเดินออกไปนอกห้องมิให้ใครเห็นหยาดน้ำตาของผมที่กำลังจะไหลเอ่อออกมาด้วยความสงสารจับใจ เขาเสียชีวิตในเช้าวันรุ่งขึ้น ทอดทิ้งภรรยากับลูกเล็กๆ อีกสองคนไว้เบื้องหลังให้เผชิญกับชีวิตตามลำพัง เขาจบชีวิตเมื่ออายุเพียงสี่สิบต้นๆ ทั้งๆ ที่วัยนี้ เป็นวัยที่ดีที่สุดในแง่ของสติปัญญา ประสบการณ์ และความรู้ที่สามารถทำประโยชน์ให้สังคมได้อีกมากมาย การเสียชีวิตก่อนวัยของเขาจึงเป็นการสูญเสียสำหรับคนรอบข้าง และสังคมโดยรวมอย่างน่าเสียดาย
ผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งที่ตับในขั้นสุดท้ายนั้น คนไข้จะตัวเหลืองไปทั้งตัว หายใจหอบหนัก นอนก็ไม่ได้ ได้แต่นั่งพิงหมอนสูง หายใจฟืดฟาด ตัวบวมไปหมด นี่เป็นอาการที่ทางการแพทย์เรียกว่า Ascites อันเป็นอาการที่มีปริมาณของน้ำจำนวนมากหมักหมมอยู่ในช่องท้องอย่างผิดปกติ และเพราะอาการนี้เอง คนไข้จึงหายใจหอบ นอนไม่ได้ เพราะน้ำในช่องท้องขึ้นไปดันกระบังลม ดันปอดจนหายใจลำบาก
การบวมของมะเร็งตับเกิดจากตับไม่สามารถจะย่อยโปรตีนได้ ถ้าช่วยย่อยโปรตีนออกไปได้บ้าง โดยการใช้วิธี Detoxification กับการให้เอนไซม์ (ที่อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง แห่งขบวนการสุขภาพชีวจิต เป็นคนแรกๆ ที่นำมาเผยแพร่ในเมืองไทยตั้งแต่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน) การบวมก็จะลดลง การหายใจก็จะสะดวกขึ้น คนไข้ก็จะนอนได้สบายขึ้น การทรมานก็จะลดลง วิธีการแก้บวมแบบนี้ เป็นวิธีที่ง่าย และไม่มีอันตรายหรือผลข้างเคียง เมื่อเทียบกับการแก้บวมโดยใช้วิธีเจาะเอาน้ำออกแบบที่เรียกว่า Paracentesis ที่มีความเสี่ยง และผลข้างเคียงมากกว่าเพราะอาจทำให้คนไข้เกิดอาการช็อก เพราะเลือดออกมาก หรือเลือดไม่มาเลี้ยงบริเวณช่องท้องได้ (hypovolemic shock)
“มะเร็ง” เป็นโรคภัยไข้เจ็บที่ทำให้ผมคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่คนไทยทั้งหลายควร หันมาเปลี่ยนมุมมองใหม่เกี่ยวกับสุขภาพ และวิถีการใช้ชีวิตได้แล้ว ก่อนอื่น เราต้องเริ่มต้นจากการยอมรับความจริงอย่างหนึ่งก่อนว่า คนไทยส่วนใหญ่ดูแลสุขภาพตัวเองไม่ค่อยเป็น และมักขาดองค์ความรู้ที่จะดูแลสุขภาพตัวเองอย่างเป็นองค์รวม หรืออย่างบูรณาการด้วย ไม่เพียงแค่นั้น คนไทยส่วนใหญ่ยังหลงติดอยู่กับ “มายาคติ” ที่ว่าเรื่องสุขภาพเป็นเรื่องของแพทย์ เป็นเรื่องของบุคลากรทางสาธารณสุข มิใช่หน้าที่ของตัวเอง
เพราะฉะนั้น คนไทยส่วนใหญ่จึงยอมยก “อำนาจ” การดูแลสุขภาพของตนไปให้แก่แพทย์ หรือแม้แต่ผู้ที่ไม่ใช่แพทย์ เช่น หมอผี หรือผู้ที่เชื่อกันว่ามีพลังจิตหรือพลังวิเศษในกรณีที่ป่วยหนักจนแพทย์แผนปัจจุบันหมดหวังที่จะรักษาได้ ซึ่ง “มายาคติ” อันนี้แหละที่เป็นสาเหตุหลักที่นำไปสู่การแก้ไขปัญหาสุขภาพที่ปลายเหตุ และอาจขาดประสิทธิภาพเท่าที่ควร เพราะจะว่าไปแล้ว การรักษาการเจ็บป่วยโดยแพทย์นั้น เป็นการแก้ไขที่ปลายเหตุเท่านั้น เนื่องจาก การเจ็บป่วยจำนวนไม่น้อยกว่า 70-80% นั้น เป็นสิ่งที่สามารถป้องกันได้ ถ้าหากผู้คนมีความเอาใจใส่ และมีองค์ความรู้ในการดูแลสุขภาพตัวเองอย่างเป็นองค์รวมและอย่างบูรณาการ
แต่เพราะคนไทยส่วนใหญ่ยังไปหลงติดอยู่กับมายาคติที่ว่าเรื่องของสุขภาพเป็นเรื่องของแพทย์ และบุคลากรทางสาธารณสุข ไม่ใช่หน้าที่ของตนเอง จึงทำให้ความต้องการบริการทางการแพทย์ของสังคมไทยไม่เคยเพียงพอ และจะไม่มีวันเพียงพอ ตราบใดที่คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ยอมเปลี่ยนมุมมองใหม่เกี่ยวกับสุขภาพ และวิถีการใช้ชีวิต สิ่งนี้ย่อมนำไปสู่ “ปัญหาโลกแตก” ทางสาธารณสุขต่างๆ นานา ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาจำนวนแพทย์ และบุคลากรทางสาธารณสุขไม่เพียงพอต่อการบริหาร ซึ่งนำไปสู่ปัญหาแพทย์ทำงานหนักเกินไป ทำให้คุณภาพในการตรวจรักษาคนไข้ลดลง หรือเกิดความผิดพลาดในการรักษาได้ง่ายขึ้น เป็นต้น
ในขณะเดียวกัน เมื่อจำนวนแพทย์และบริการทางแพทย์ไม่เพียงพอ ขณะที่จำนวนผู้ป่วยเป็นโรคร้ายแรงกลับมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิด “มายาคติ” อีกแบบหนึ่งที่เป็นความเชื่อแบบงมงายแพร่หลายขึ้นมา อย่างเช่น ความเชื่อแบบผิดๆ ที่คิดว่ามีวิธีการหรือขบวนการสำเร็จรูปอย่างใดอย่างหนึ่งแบบเบ็ดเสร็จ หรือแบบอาหารจานด่วนในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บที่ร้ายแรงอย่างได้ผลชะงัด จึงอยากได้หรือมุ่งแสวงหายาวิเศษ สมุนไพรวิเศษ หรืออาหารเสริมวิตามินวิเศษ ที่ไม่ว่าจะมีชื่อหรือตั้งชื่อแปลกๆ อะไรออกมาก็ตามที่กินเข้าไปแล้ว จะทำให้มีสุขภาพดีดังเดิมได้ แต่ “ยาวิเศษ” อย่างนั้น ไม่มีในโลกแห่งความเป็นจริงหรอก
ถ้าจะมี “สิ่งวิเศษ” ใดที่จะทำให้คนเรามีสุขภาพแข็งแรงได้ สิ่งนั้นในความเห็นของผมก็คือ ระบบภูมิชีวิต (Immune System) และพลังปราณ (ชี่) ของคนเราเท่านั้น ซึ่งเป็น “ของฟรี” ที่มีติดตัวคนเราทุกคนอยู่แล้ว เพียงแต่คนเราต้องมี “ภูมิปัญญา” ในการรู้จักนำของวิเศษสองสิ่งนี้มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แก่สุขภาพกายสุขภาพใจของเราได้เท่านั้น ซึ่งการจะทำเช่นนั้นได้ เราจะต้องสามารถ “ถอดรื้อ” มายาคติ หรือความหลงผิดจำนวนมากเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของคนเราให้ได้เสียก่อน เพื่อที่จะได้มีกระบวนทัศน์ใหม่ หรือมุมมองใหม่เกี่ยวกับสุขภาพและการใช้ชีวิตแบบองค์รวม หรือแบบบูรณาการได้
ผมขอเริ่มจากความเข้าใจเรื่อง “มะเร็ง” ในมุมมองที่กว้างขึ้นกว่าความเข้าใจแบบเดิมๆ ที่มองว่า มะเร็งคือก้อนเนื้อร้าย หรือกลุ่มเซลล์ที่ผิดปกติในร่างกาย โดยที่กลุ่มเซลล์ซึ่งผิดปกตินี้จะเจริญเติบโต และกระจายไปทั่วร่างกายโดยอิสระ ไม่มีสิ่งใดมาควบคุมได้ นอกจากนี้ กลุ่มเซลล์ที่ผิดปกตินี้จะไปรุกรานและทำลายเซลล์ปกติอื่นๆ จนกระทั่งอวัยวะหรือระบบสำคัญต่างๆ ของร่างกายทำงานไม่ได้ ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตในที่สุด นี่คือความหมายของมะเร็งที่เป็นโรคร้ายที่แคบที่สุด ซึ่งมิได้เป็นนิยามที่ผิดแต่ประการใด
เพียงแต่ถ้าเรามองมะเร็งในมุมมองที่กว้างขึ้น เราจะพบว่า มะเร็งเริ่มต้นที่ ความผิดปกติ ต่อจากนั้น ความผิดปกตินี้จะกระจายและไปสร้างความผิดปกติอื่นๆ ต่อไปอีก จนกระทั่งทำลายระบบชีวิตทั้งระบบในที่สุด หากเรามองเช่นนี้ เราก็จะเห็นว่า มะเร็งคือความผิดปกติที่กระจายและขยายตัวได้ เมื่อเรามอง “มะเร็ง” ด้วยมุมมองเช่นนี้ เราย่อมเห็นได้เองว่า “มะเร็ง” มิใช่ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายได้เท่านั้น หากยังสามารถเกิดขึ้นกับจิตใจ และจิตวิญญาณของคนเราได้อีกด้วย “มะเร็ง” จึงเกิดขึ้นแล้วก็กระจาย และทำลายร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณของคนเราจนย่อยยับไปในที่สุด