แนวทางการเสริมสร้างระบบภูมิชีวิตอย่างบูรณาการ
เพื่อป้องกันโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคร้ายแรงอื่นๆ (10)
(2/8/2554)
*โภชนาการเพื่อเซลล์ (Cellular Nutrition)*
ในการจะบำรุงรักษาร่างกายเพื่อป้องกันโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคร้ายแรงอื่นๆ นั้น ควรจะเริ่มที่ระดับเซลล์หรือโมเลกุลในเซลล์ โดยให้ได้รับอาหาร และสารอาหารต่างๆ ที่เหมาะสม เพื่อไปหล่อเลี้ยงระบบทุกระบบที่ประกอบขึ้นเป็นระบบภูมิชีวิตของร่างกาย รวมทั้งป้องกันการบาดเจ็บ การอักเสบ หรือความเสียหายในระดับเซลล์ ซึ่งเป็นที่มาของความเสื่อมของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ตามคำอธิบายที่ทรงพลังในระดับเซลล์ และโมเลกุลเกี่ยวกับการเกิดพยาธิสภาพที่เราได้กล่าวไปแล้ว
ขอขยายความเพิ่มเติมต่อไปอีกว่า หน่วยย่อยพื้นฐานของชีวิตคือ เซลล์ ซึ่งจะมีชีวิตอยู่ได้ในภาวะทางฟิสิกส์ และเคมีขอบเขตแคบๆ เท่านั้น โดยที่ ผนังเซลล์ เปรียบเสมือนรั้วหรือขอบเขตที่จำกัดความเข้มข้น และการกระจายของโมเลกุลภายในเซลล์ ผนังเซลล์จึงมีความสำคัญยิ่ง ในการรักษาสมดุลแห่งชีวิตร่างกายของคนเรา องค์ประกอบพื้นฐานของผนังเซลล์เป็นไขมัน (กรดไขมัน) ที่มีโมเลกุลเคลื่อนที่ทำให้เกิดคุณสมบัติของการไหล (cell fluidity) ภาวะการไหลของโมเลกุลของไขมันในผนังเซลล์มีความจำเป็น และมีบทบาทสำคัญที่ทำให้เซลล์-เนื้อเยื่อต่างๆ ทำหน้าที่ได้เหมาะสม และมีสุขภาพ เราสามารถตรวจภาวะการไหลของผนังเซลล์ได้จากการตรวจเม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือด
นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบว่า กรดไขมันโอเมก้า-3 (ที่ได้จากน้ำมันปลา) จะเข้าไปประกอบในองค์ประกอบของผนังเซลล์เม็ดเลือดแดง และเกล็ดเลือดยังผลให้เม็ดเลือดแดงมีผนังที่อ่อนนุ่ม และเกื้อหนุนคุณสมบัติการไหลของเซลล์ให้ดีขึ้น จึงเห็นได้ว่า นอกจากวิตามินซีแล้ว กรดไขมันโอเมก้า-3 ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่เรารับประทานเข้าไปจะประกอบเป็นผนังเซลล์ทุกชนิด โดยเข้าไปแทนที่กรดไขมันที่มีคุณภาพด้อยกว่า ทำให้เซลล์อ่อนนุ่มมีคุณภาพ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นมากในการที่จะป้องกันโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคร้ายแรงอื่นๆ
นอกจากนี้ ผนังเซลล์ยังเป็นแหล่งผลิตไอโคซานอยด์ (eicosanoids) ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญ ฮอร์โมนเป็นกลไกระบบหนึ่งที่สื่อสารควบคุมให้ร่างกายทำหน้าที่ตั้งแต่ระดับเซลล์ถึงระดับอวัยวะไอโคซานอยด์เป็นฮอร์โมนประเภทที่หลั่งออกจากเซลล์เพื่อไปทำหน้าที่ทดสอบในบริเวณรอบตัว แล้วกลับมาส่งข้อมูลให้เซลล์เพื่อทำหน้าที่ปรับภาวะให้สมดุล ด้วยเหตุนี้ ไอโคซานอยด์ จึงเป็นฮอร์โมนที่มีความสำคัญมาก เพราะมันมีผลในการผลิตฮอร์โมนต่างๆ อีกต่อหนึ่ง ซึ่งต่างจากฮอร์โมนตัวอื่นที่ผลิตโดยต่อมไร้ท่อต่อมใดต่อมหนึ่ง (ฮอร์โมนคือสารเคมีที่สื่อสารข้อมูลในร่างกายได้) ขณะที่เซลล์ทุกๆ เซลล์ในร่างกาย มีความสามารถในการผลิตไอโคซานอยด์ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า จำนวนเซลล์ 60 ล้านล้านเซลล์ของร่างกายคนเราคือต่อมผลิตไอโคซานอยด์
แต่การที่ร่างกายคนเราจะผลิตไอโคซานอยด์ที่ดีได้นั้น จำเป็นต้องได้รับกรดไขมันโอเมก้า-3 อย่างเพียงพอเสียก่อน จึงเห็นได้ว่า กรดไขมันโอเมก้า-3 จากน้ำมันปลามีประโยชน์มากกว่าที่เคยคิด เพราะไอโคซานอยด์มีบทบาทสำคัญมากที่ทำให้เกิดสุขภาพ และอายุยืนยาว วิตามินซีที่คนยุคปัจจุบันตกอยู่ในภาวะขาดแคลนเรื้อรังก็ดี กรดไขมันโอเมก้า-3 ที่คนเราจำเป็นต้องได้รับอย่างพอเพียงเพื่อสุขภาพในระดับเซลล์ก็ดี ล้วนบ่งชี้ถึง ความสำคัญอย่างยิ่งยวดของการได้รับคุณค่าสูงสุดจากอาหารที่ควรเป็น “โภชนาการเพื่อเซลล์” (Cellular Nutrition) ทั้งสิ้น นี่คือมุมมองใหม่เกี่ยวกับอาหารที่ผมอยากนำเสนอในที่นี้ว่า อาหารมิใช่ควรกินเพื่อความอร่อยเท่านั้น แต่ควรกินเพื่อสุขภาพของเซลล์ด้วยเพราะคนเราจะเป็นดังที่เรารับประทาน นี่คือสัจธรรม
อาหารเมื่อเรารับเข้าสู่ร่างกายก็จะได้รับการย่อย ปรับแต่ง นำไปสู่เซลล์ เป็นพลังงานบำรุง ซ่อมแซม บำบัดรักษาโดยอาหารได้รับการย่อยปรับแต่งหลากหลายขั้นตอนก่อน จนในที่สุดเหมาะที่จะเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเซลล์ในอวัยวะใดอวัยวะหนึ่ง หรือทำหน้าที่ในกระบวนการย่อย ปรับแต่งไปเป็นเอนไซม์ หรือตัวช่วยเอนไซม์เสียเอง และเป็นพลังงาน กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า อาหารจะถูกย่อยปรับแต่งจนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิตในระดับโมเลกุล อาหารที่คนเรารับประทานเข้าไปจึงถูกบูรณาการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย และชีวิตของคนเรา การที่คนเราจะมีสุขภาพดี ป้องกันการเสื่อมสภาพของอวัยวะ ป้องกันโรคร้าย หรือแม้แต่รักษาโรคร้ายอย่างโรคมะเร็ง อาหารจากธรรมชาติเป็นองค์ประกอบสำคัญยิ่งองค์ประกอบหนึ่ง
กรณีของ ดร.ทอม อู๋ (Tom Wu) ผู้เขียนหนังสือ “ธรรมชาติช่วยชีวิต” (สำนักพิมพ์อินสปายร์, พ.ศ. 2554) ที่ผมจะกล่าวถึงต่อไปนี้ จะทำให้พวกเราตระหนักและเข้าใจถึง ความสำคัญของโภชนบำบัดในการพิชิตโรคร้ายอย่างโรคมะเร็งได้เป็นอย่างดี ดร.อู๋จบวิชาแพทย์แผนตะวันตกจากมหาวิทยาลัย แต่ตอนที่เขาอายุสามสิบ (เมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน) เขาป่วยเป็นมะเร็งปอดระยะที่สาม หลังจากใช้ยาใหม่ที่สุด และมีฤทธิ์แรงที่สุดหลายขนานในขณะนั้น ก็ไม่เป็นผล หมอจึงแนะนำให้เข้ารับการผ่าตัดเพื่อตัดปอดข้างขวาสองกลีบบนทิ้งไป แต่เมื่ออยู่บนเตียงผ่าตัดได้พบว่า มะเร็งลุกลามไปยังอวัยวะอื่นแล้วจึงจำเป็นต้องเย็บปิดแผล จากนั้นเขาก็ได้รับแจ้งว่า จะมีชีวิตอยู่อีกเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น วิธีเดียวที่เหลืออยู่คือการทำเคมีบำบัด แต่นั่นก็เป็นแค่การยืดชีวิตออกไปได้นิดหน่อยเท่านั้นเอง
ดร.อู๋ ปฏิเสธการทำเคมีบำบัด และเลือกที่จะปล่อยให้ตัวเองตายไปตามธรรมชาติ (แต่นั่นเป็นเหตุการณ์เมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน ปัจจุบันการแพทย์ก้าวหน้าไปมาก ดร.อู๋เองยังยอมรับว่า เดี๋ยวนี้เคมีบำบัดสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยมะเร็งขั้นรุนแรงได้ไม่น้อย) ในสภาพที่ท้อแท้สิ้นหวัง ไร้หนทางนั้น ดร.อู๋ที่เป็นชาวคริสต์นึกถึงข้อความตอนหนึ่งในคัมภีร์ไบเบิล ในบทที่หนึ่ง ตอนที่ว่าด้วยการสร้างโลก ที่พระเจ้าทรงสร้างโลกที่สวยสดงดงาม และสร้างทุกอย่างที่มนุษย์ต้องการ หลังจากนั้นจึงทรงสร้างอาดัมกับอีฟ และตรัสกับคนทั้งสองว่า “ดูสิ! ดอกไม้ หญ้า และผักที่มีเมล็ดบนพื้นดินกับผลไม้ที่มีเมล็ดบนต้นไม้ ทั้งหมดนี้คือ อาหารของพวกเจ้า”
ที่ผ่านมา ดร.อู๋เคยกินแต่เนื้อสัตว์ เนื้อปลา และอาหารทอด ผัด ย่าง หอมกรุ่นกับขนมเค้กแสนอร่อย แต่พระเจ้าของเขาทรงต้องการให้มนุษย์กินผักที่ไร้รสชาติบนพื้นดินกับผลไม้รสเปรี้ยวบนต้นไม้ หลังจากครุ่นคิดอยู่หลายวัน และได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับชี่กง และวิถีแห่งการมีอายุยืนยาวหลายเล่ม ในที่สุด ดร.อู๋ก็ตัดสินใจกินอาหารตามที่พระเจ้าของเขาทรงชี้นำ โดยทุกวันเขากินผักผลไม้ ดื่มน้ำสะอาด อาบแดดสามสิบนาที เดินเร็วสามสิบนาที ฝึกชี่กง และฝึกลมปราณ (ฝึกหายใจเข้าออกช้าๆ ยาวๆ ลึกๆ) พักผ่อนมากขึ้น เข้านอนเร็ว และตื่นแต่เช้า นอนกลางวันเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง อาบน้ำร้อนสลับน้ำเย็นทุกวัน
หลังจากปรับเปลี่ยนความเคยชินในการกินอาหาร และการใช้ชีวิตเพียงหกเดือน ดร.อู๋รู้สึกจิตใจของเขากลับมาเบิกบาน กำลังวังชาฟื้นฟูเหมือนตอนก่อนป่วย ทำให้เขามีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าจะกลับมามีสุขภาพดีได้ เขาจึงกินผักเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว โดยเฉพาะผักวอเตอร์เครส (watercress) ผักชี ขิงแก่ กะเพรา ใบสะระแหน่ มะนาว พริกไทยดำ นอกจากนี้ยังกินผลไม้บ้าง รวมทั้งอัลมอนด์ วอลนัต และเมล็ดฟักทอง โดยกินดิบทั้งหมด บางครั้งก็กินถั่วงอกของถั่วชนิดต่างๆ และถั่วฟัลฟา กินอาหารดิบร้อยเปอร์เซ็นต์
เนื่องจาก ดร.อู๋กินอาหารที่มีเส้นใยสูงทุกวัน การขับถ่ายของเขาซึ่งเคยถ่ายวันละครั้งเท่านั้น และคิดว่าแบบนี้ถึงจะปกติ ก็กลายเป็นการขับถ่ายวันละ 3-4 ครั้งทุกวันจนเป็นเรื่องปกติสำหรับเขา พอเวลาผ่านไปเก้าเดือน ผลการตรวจร่างกายของเขาเป็นปกติทุกรายการ โดยไม่มีเซลล์มะเร็งหลงเหลืออยู่เลย ขอบคุณพระผู้เป็นเจ้า! เขาหายเป็นปกติแล้ว!
กรณีของดร.ทอมอู๋ เป็นเพียงหนึ่งในตัวอย่างจำนวนมากที่ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การเจ็บป่วยและความชราเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ การย้อนอายุไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ขอเพียงแต่คนผู้นั้นยอมปรับเปลี่ยนความเคยชินในการกินอาหาร และการใช้ชีวิตเท่านั้น ความสำคัญของโภชนบำบัดที่ใช้ผักผลไม้ที่ธรรมดาที่สุด และวิธีที่ธรรมชาติที่สุดเพื่อป้องกัน และเอาชนะโรคภัยไข้เจ็บ จึงไม่อาจมองข้ามได้เป็นอันขาด