เสียงฟ้า เสียงพสุธา
วันรุ่งขึ้น...
อาจารย์เมทัทสุได้พาสันติชาติไปฝึกนั่งคนเดียวบนชะโงกหินริมน้ำตกอีกในระหว่างทางท่านได้เอ่ยสนทนากับสันติชาติว่า
สันติชาติเธอรู้มั้ยว่าตอนนี้เธอเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก
ตัวผมน่ะหรือครับ? สันติชาติทำหน้าสงสัย
ใช่แล้ว ท่านเมทัทสุหัวเราะเล็กน้อย
ทำไมผมถึงเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกล่ะครับ? สันติชาติถามอาจารย์ของตนในใจของเขายังไม่ยอมรับคำพูดนี้สักเท่าไรเพราะชีวิตที่ผ่านมาของเขาได้เผชิญทุกข์มากกว่าสุขหลายสิบหลายร้อยเท่านัก
ยังไม่เข้าใจอีกรึ? ท่านเมทัทสุกล่าวเสียงราบเรียบจากนั้นจึงอธิบายต่อไปว่า
เพราะเธอเคยมีทุกข์เธอเคยสับสนเธอจึงใช้ชีวิตอย่างดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อแสวงหาความหมายที่แท้จริงของชีวิตเธอจึงเริ่มออกเดินทางและในระหว่างทางเธอก็ได้อาจารย์ที่เก่งๆและน่าเคารพบูชาหลายท่านมาคอยช่วยล้างใจของเธอให้สะอาดบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นเรื่อยๆแล้วอย่างนี้จะยังไม่เรียกว่าเธอเป็นคนมีโชคมีโอกาสดีที่เป็นที่น่าอิจฉาของผู้คนจำนวนมากอีกหรือและในโลกนี้จะมีใครที่มีความสุขมากที่สุดเท่ากับคนที่มีโอกาสดวงตาแลเห็นธรรมเล่า?
คนที่มีโอกาสดีแล้วไม่ใช้โอกาสนั้นเพื่อพัฒนาตัวเองเพื่อพัฒนาจิตวิญญาณของตัวเองให้สูงส่งยิ่งๆขึ้นไปนี่แหละคือคนที่น่าสมเพชที่สุดในโลกในทัศนะของเรา
เมื่อได้ฟังมาถึงตรงนี้ความรู้สึกไม่ยอมรับในตอนแรกของสันติชาติได้หายไปจนหมดสิ้นแล้ว
นอกจากนี้ยังมีเรื่องที่เธอควรจะต้องปิติยินดียิ่งกว่านี้อยู่อีกนะสันติชาติ อาจารย์เมทัทสุกล่าวเป็นปริศนา
อะไรหรือครับอาจารย์? สันติชาติถาม
ท่านเมทัทสุยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า
ก็คือข้อเท็จจริงที่ว่าเธอกำลังมีชีวิตอยู่ในขณะนี้ยังไงเล่าถ้าหากเธอไม่มีชีวิตอยู่แล้วเธอจะได้มาฝึกฝนตนเองฝึกปฏิบัติธรรมเหมือนในขณะนี้อยู่ได้หรือเพราะเธอยังมีชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือเธอถึงสามารถชมความงามของทิวทัศน์ของภูเขาและท้องทะเลตรงนี้พร้อมกับเราได้เธอถึงสามารถชื่นชมความงามของบุปผาที่เบ่งบานอยู่ในบริเวณนี้ได้
สันติชาติพอได้ฟังก็เริ่มเข้าใจผงกศีรษะเห็นด้วย
ที่นี้เธอตระหนักได้แล้วหรือยังล่ะเธอเกิดมาเพื่อทำอะไรบนโลกนี้ อาจารย์เมทัทสุถามหยั่งเชิงศิษย์ผู้มาจากประเทศไทยว่าเขามีความเข้าใจในระดับใด
ถ้าผมจะตอบว่าเพื่อประสบความสำเร็จในชีวิตล่ะครับ สันติชาติตอบแบบคล้ายไม่แน่ใจว่าคำตอบนี้ถูกต้องหรือไม่
อาจารย์เมทัทสุทำหน้าตาเหมือนจะเข้าใจความหมายที่สันติชาติพูดพลางกล่าวว่า
อ้อการศึกษาทางโลกที่เธอได้ร่ำเรียนมาจนจบระดับการศึกษาขั้นสูงสุดนั้นสอนเธอได้แค่นี้รึสันติชาติถ้ายังงั้นเราขอถามเธอหน่อยว่าเธอต้องการประสบความสำเร็จในชีวิตไปเพื่ออะไร?
............
ไม่ต้องรีบตอบคำถามนี้หรอกนะขอให้เธอใช้เวลาที่เธอนั่งฝึกสมาธิข้างน้ำตกนี่หาคำตอบนี้ให้เจอว่าตัวเธอเกิดมาเพื่อทำอะไรบนโลกนี้แล้วค่อยบอกเราบางทีประสบการณ์ในอดีตที่เธอผ่านพ้นมาคงจะเป็นเครื่องชี้นำคำตอบให้กับเธอได้จงอย่าพึ่งการใช้ตรรกะเหตุผลแต่คอยฟังเสียงน้ำตกให้ดีขณะที่เธอกำลังนั่งฝึกสมาธิแล้วเธอก็จะรู้ได้เองแหละ
คนเราเกิดมาเพื่อทำอะไรบนโลกนี้? นี่เป็นคำถามที่พื้นฐานมากพอๆกับคำถามที่ว่าทำไมคนเราถึงต้องตายและทำไมผู้คนถึงเกรงกลัวความตายกันนักทั้งๆที่ความตายนั้นความจริงก็คือการหลับที่ไม่มีวันตื่นชั่วกาลนานเท่านั้นเองมีใครบ้างทีไม่เคยหลับทุกคนต้องมีการนอนหลับกันทั้งนั้นและในยามที่คนเรานอนหลับสนิทก็หาได้มีสภาพที่แตกต่างไปจากคนที่ตายแล้วแต่อย่างใดไม่
จะต่างก็เพียงแต่ว่าคนที่ยังไม่ตายคือผู้ที่หลับแล้วมีโอกาสตื่นหรือกล่าวในอีกนัยหนึ่งได้ว่าผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ทุกคนล้วนแล้วแต่กำลังฝึกฝน การหลับที่ไม่มีวันตื่นกันทุกคืนทั้งสิ้น
แต่ใครจะรู้หรือตัดสินได้เล่าว่าการนอนหลับในแต่ละคืนของตัวเรานี้คือการหลับแบบมีวันตื่นหรือการหลับแบบไม่มีวันตื่นตัวเราเองรึ? ก็ไม่ใช่เพราะในยามที่ตัวเราเองกำลังนอนหลับอยู่นั้นเราไม่สามารถรับรู้ในสิ่งเหล่านี้ได้มนุษย์ส่วนใหญ่กลัวตายแต่กลับไม่กลัวการพักผ่อนนอนหลับแถมยังชอบการนอนหลับเสียด้วยฟังดูแล้วมิใช่เรื่องที่ขัดแย้งกันเองดอกหรือ
หรืออาจเป็นเพราะว่าการนอนหลับชั่วกาลนานนั้นมันยาวนานเกินไปพวกมนุษย์จึงไม่ชอบแต่ความคิดเช่นนี้ก็ไม่น่าจะถูกต้องเพราะในระหว่างที่คนเรากำลังนอนหลับอยู่นั้นคนเราจะไม่รู้ถึงกระแสแห่งเวลาแต่ประการใดเพราะนิยามของเวลาเป็นสิ่งสัมพัทธ์เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีการทำงานของจิตสำนึกเท่านั้น
ดังนั้นถ้าหากไม่มีกระแสเวลาดำรงอยู่ในขณะนอนหลับอยู่จริงมนุษย์เราก็ไม่น่าจะรู้ถึงความแตกต่างระหว่างการหลับหนึ่งคืนกับการหลับไปชั่วกาลนานได้แล้วจะกลัวตายไปทำไมกันจะเห็นได้ว่าความกลัวตายเป็นสิ่งที่เกิดมาจากความแตกต่างในทัศนะหรือวิธีคิดของคนเราเท่านั้น
แล้วความหมายของการมีชีวิตอยู่บนโลกนี้เล่าใช่หรือไม่ว่ามันจะมีขึ้นก็ต่อเมื่อคนเรามีทัศนะหรือวิธีคิดต่อชีวิตอย่างถูกต้องแท้จริงแล้ว?
วิธีคิดก่อให้เกิดความกลัวและความกล้าได้
วิธีคิดก่อให้เกิดความโง่และความฉลาดได้
วิธีคิดก่อให้เกิดมายาและความจริงได้ว่าแต่ว่ามนุษย์เราจะมีวิธีคิดที่ดีที่ถูกต้องได้อย่างไรกัน?
ความสุขความทุกข์ของมนุษย์จริงๆแล้วขึ้นอยู่กับวิธีคิดของคนผู้นั้นในแต่ละช่วงขณะนั้นเป็นอย่างมากเลยไม่ใช่เพราะคนเราเจ็บไข้ได้ป่วยหรอกที่กำหนดความสุขความทุกข์ของคนและไม่ใช่เพราะเคราะห์หามยามร้ายหรอกที่กำหนดความทุกข์ความสุขของคน
เพราะตราบใดที่คนเราอยู่ท่ามกลางความปิติยินดีที่กำลังมีชีวิตอยู่ได้ตราบนั้นความทุกข์โศกใดๆไม่ว่าจะมาจากโรคภัยไข้เจ็บหรือเคราะห์ร้ายทั้งปวงย่อมไม่อาจเข้ามาบั่นทอนจิตใจของคนผู้นั้นได้
สันติชาติลืมตาขึ้นมาจากการนั่งสมาธิข้างน้ำตกเขาหวนทบทวนความคิดต่างๆที่แล่นเข้าสู่จิตใจเมื่อครู่เกี่ยวกับเรื่องความตายและความหมายของการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ฉับพลันเขาเหลือบไปแลเห็นตัวอักษรกลุ่มหนึ่งซึ่งสลักอยู่ข้างๆก้อนหินที่เขากำลังนั่งฝึกสมาธิอยู่เขาลุกขึ้นเข้าไปดูมันใกล้ๆด้วยความอยากรู้อยากเห็นเมื่อคิดได้ว่าสถานที่แห่งนี้เขาคงไม่ใช่คนแรกหรอกที่จะมานั่งฝึกฝนวิชาบางทีอาจจะมี ผู้กล้ารุ่นก่อนเขาหลายชั่วอายุคนแล้วก็เป็นได้ที่มานั่งฝึกฝนวิชาณสถานที่นี้อยู่ก่อนแล้วอักษรเหล่านั้นมีใจความดังต่อไปนี้
ตัวเราคือผลผลึกแห่งพลัง
ตัวเราณบัดนี้กำลังอยู่ร่วมกับพลังแห่งพระจิต
อาตมันที่เป็นอมตะเป็นสิ่งที่สมบูรณ์
ที่ไม่ว่าน้ำหรือไฟก็ไม่อาจทำลายได้
อาตมันหรือตัวตนที่แท้มีพลังที่ไร้ขอบเขต
สันติชาติไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นผู้สลักข้อความเหล่านี้ลงในก้อนหินบางทีอาจจะไม่ใช่แค่คนคนเดียวเท่านั้นหรอกบุคคลเหล่านี้คงได้บันทึก ประสบการณ์โดยตรง ที่พวกเขาได้สัมผัสด้วยตนเองในขณะที่กำลังฝึกฝนตนเองอยู่ด้วยความรู้สึกปิติปรีดาที่พวกเราแต่ละคนได้เคยมีประสบการณ์แห่งช่วงขณะที่พวกเขาสามารถเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับจักรวาลได้จึงเปล่งคำเหล่านี้ออกมาและบันทึกไว้เป็นประจักษ์พยาน
หรือว่าสิ่งนี้คือความหมายที่แท้จริงของการที่คนเราเกิดมาเพื่อทำอะไรบนโลกนี้ใช่แล้วมันต้องเป็นสิ่งนี้อย่างแน่นอน
เมื่อสันติชาติแจ้งคำตอบนี้ของเขาให้อาจารย์เมทัทสุทราบเมื่อยามที่ทั้งคู่ลงจากภูเขาและเดินทางกลับมาถึงที่พักแล้วขณะนั้นเป็นตอนค่ำพระจันทร์กำลังเต็มดวงพอดีท่านเมทัทสุได้สั่งให้สันติชาตินั่งเพ่งดูพระจันทร์เป็นเวลา 1 ชั่วยามโดยห้ามขยับเขยื้อนร่างกายส่วนใดทั้งสิ้นจากนั้นท่านถึงจะมาตรวจสอบเขาอีกครั้งหนึ่ง
...หนึ่งชั่วยามผ่านไปสันติชาติได้นั่งเพ่งดูพระจันทร์ตามที่อาจารย์สั่งจนรู้สึกเริ่มจะเบื่อหน่ายแล้วก็เป็นเวลาที่ท่านเมทัทสุปรากฏกายอีกครั้งหนึ่งพอดี
เป็นยังไงนั่งเพ่งดูพระจันทร์มาโดยตลอดเลยใช่มั้ย ท่านเมทัทสุถามสันติชาติ
สันติชาติยิ้มอย่างภูมิใจที่ตนเองสามารถปฏิบัติตามที่อาจารย์สั่งได้โดยตลอดพร้อมกล่าวว่า
ครับผมขยับตัวได้แล้วนะครับอาจารย์
เธอเห็นพระจันทร์แจ่มชัดมากใช่มั้ย อาจารย์เมทัทสุถามอีกครั้ง
ครับอาจารย์แลเห็นพระจันทร์ชัดมากเลยครับ สันติชาติตอบอย่างมั่นใจ
อาจารย์เมทัทสุยิ้มเล็กน้อยดวงตาทั้งคู่คล้ายมองลึกลงไปในตัวสันติชาติแล้วกล่าวว่า
ถ้าเช่นนั้นเธอลองวาดพระจันทร์ที่เธอบอกว่าเห็นชัดมากนี้ลงที่พื้นดินนี่ให้เราดูหน่อยซิ
วาดพระจันทร์หรือครับ? สันติชาติทำหน้าฉงน
ใช่แล้ว ท่านเมทัทสุยืนยันความคิดเดิม
เมื่อสันติชาติวาดรูปพระจันทร์ลงไปบนพื้นท่านเมทัทสุกลับส่ายหน้าและบอกกับเขาว่า
นั่นไม่ใช่พระจันทร์แต่เป็นแค่ขอบวงกลมของดวงจันทร์ต่างหากเธอไม่เห็นหรอกรึว่าดวงจันทร์ที่เธอนั่งเพ่งตั้งหนึ่งชั่วยามนี้มันมีลวดลายสวยงามพิสดารอย่างไร
...?...
อาจารย์เมทัทสุยกมือข้างหนึ่งจับไหล่สันติชาติแล้วอธิบายว่า
เห็นมั้ยว่าตัวเธอเองก็ยังไม่ได้เห็นดวงจันทร์ชัดเจนจริงๆเหมือนกับคำตอบของเธอเมื่อครู่เกี่ยวกับความหมายที่คนเราเกิดมาเพื่ออะไรก็ยังไม่ใช่คำตอบจริงๆของเธอจากตัวเธอ!
"..............."
เพราะฉะนั้นเธอจะต้องไปฝึกนั่งที่ข้างน้ำตกนั่นอีกต่อไปจนกว่าเธอจะได้คำตอบที่เราพอใจ อาจารย์เมทัทสุกล่าวสรุป
อาจารย์ครับเป็นไปได้ไหมครับว่าเสียงของน้ำตกที่ดังสั่นอยู่ตลอดเวลานั่นทำให้ใจผมไม่สามารถเข้าสู่สมาธิในระดับลึกได้ สันติชาติตั้งข้อสังเกตตามประสานักวิชาการ
ท่านเมทัทสุถอนใจกล่าวว่า
ถ้าเสียงของน้ำตกแค่นี้เธอยังควบคุมใจให้สงบไม่ได้ต่อให้เธอไปฝึกในที่อื่นที่ไหนก็ตามเธอก็ไม่มีวันรุดหน้าไปได้หรอกสันติชาติเธอไม่รู้หรอกหรือว่าเราลำบากแค่ไหนกว่าจะเจาะจงหาสถานที่เช่นนี้มาให้เธอฝึกได้
อาจารย์เจาะจงเลือกสถานที่นี้ให้ตัวผมฝึกหรือครับ? สันติชาติถามอย่างนึกไม่ถึง
ใช่แล้ว ท่านเมทัทสุพยักหน้ารับ
ทำไมหรือครับ? สันติชาติถามต่อ
เพราะเราอยากให้เธอได้ยินเสียงของฟ้าเร็วๆน่ะสิ ท่านเมทัทสุกล่าวเป็นปริศนาอีกครั้ง
เสียงของฟ้าหรือครับ? สันติชาติเริ่มงุนงงกับความหมายที่อาจารย์เมทัทสุพยามยามต้องการจะบอก
ใช่แล้วเสียงที่อยู่บนฟ้าเสียงนี้เราได้ยินอยู่เสมอเราได้ยินแม้แต่ในขณะที่เรากำลังสนทนากับเธออยู่นี้แต่ถ้าหากเธอยังมัวกังวลอยู่กับเสียงของน้ำตกหรือเรื่องอื่นๆเธอก็จะไม่ได้ยินเสียงของมันเหมือนกับที่เธอไม่ได้ยินเสียงของพสุธาอาจารย์เมทัทสุอธิบาย
เสียงของพสุธาหรือครับ? สันติชาติถามอย่างงงงวยอีกไม่ทราบเป็นครั้งที่เท่าไหร่
อาจารย์เมทัทสุหัวเราะเบาๆแล้วอธิบายว่า
ใช่แล้วถ้ามีเสียงของฟ้าก็ย่อมมีเสียงของพสุธาด้วยแต่เสียงของพสุธาจะได้ยินง่ายกว่าเสียงของฟ้าถ้าหากเธอมีสมาธิเพียงพอเพราะเสียงของพสุธาคือเสียงร้องของเหล่าสรรพสัตว์คือเสียงของแมลง คือเสียงกิ่งไม้ยามถูกลมโบกพัด
เสียงเหล่านี้ผมก็ได้ยินครับ สันติชาติกล่าวตามความเข้าใจของตน
ใช่แล้วแต่ถ้าเธอได้ยินมันท่ามกลางเสียงน้ำตกที่ดังสนั่นหวั่นไหวนั่นถึงจะกล่าวได้ว่าเป็นเสียงพสุธาที่แท้จริงเพราะฉะนั้นพรุ่งนี้เธอจะต้องไปที่น้ำตกนั่นแต่เช้าตรู่และฟังเสียงพสุธาให้ได้ถ้าไม่ได้เธออย่ากลับมาให้เราเห็นหน้าเป็นอันขาดนะสันติชาติ อาจารย์เมทัทสุสั่งอย่างเฉียบขาด
...ถ้าอยากจะฟังเสียงฟ้าก็ต้องฟังเสียงพสุธาให้ได้ก่อน...
เช้าวันรุ่งขึ้นสันติชาติกุลีกุจอรีบไปที่ชะง่อนผาข้างน้ำตกแต่เช้าตรู่เช้าวันนี้เขารู้สึกคึกคักกระตือรือร้นมากเป็นพิเศษราวกับกำลังจะเข้าสู่สนามประลองฝีมือเขามุ่งมั่นที่จะฟังเสียงของพสุธาข้างน้ำตกนั้นให้จงได้คราวนี้เขาไม่สนใจอีกต่อไปแล้วว่าเขาจะสามารถได้ยินเสียงอะไรอื่นอีกได้ท่ามกลางเสียงดังสนั่นหวั่นไหวจากน้ำตกสายนั้น
เสียงร้องโครมครามของน้ำตกที่ไม่เคยหยุดนิ่งปกคลุมสภาพรอบๆบริเวณน้ำตกแห่งนั้นอย่างมิดชิดอย่าว่าแต่เสียงนกร้องเลยแม้แต่เสียงกระแอมไอของตัวสันติชาติเองเขาก็ยังแทบไม่ได้ยินเลย 10 นาที 20 นาทีผ่านไปแล้วสันติชาติยังคงขะมักเขม้นนั่งสมาธิตั้งใจฟังเสียงอื่นนอกจากเสียงน้ำตกแต่แม้เขาจะนั่งนิ่งๆฟังจนหูเริ่มชาแล้วเขาก็หาได้ยินเสียงอะไรอื่นอีกไม่
ครั้นเวลาผ่านไปอีก 1 ชั่วโมงเต็มสันติชาติจึงลืมตาขึ้นมาโดยยังไม่ได้ผลอะไรเป็นชิ้นเป็นอันทั้งสิ้น เขาแลดูกระแสน้ำตกที่ไหลแรงกระแทกกระทั้นโขดหินราวกับฆ้อนที่กำลังกระหน่ำฟาดลงมายังทั่งตีเหล็กพลันสายตาของเขาเหลือบแลเห็นฝูงนกตัวเล็กๆฝูงหนึ่งกำลังบินเล่นไปมาอยู่เหนือโขดหินบริเวณน้ำตกสายนั้น
ถ้าเป็นที่อื่นป่านนี้เขาคงได้ยินเสียงร้องของฝูงนกนั่นแล้วเป็นแน่สันติชาตินึกเช่นนั้นอยู่ในใจพร้อมกับเกิดความคิดวูบหนึ่งขึ้นมาว่าเขาน่าจะลองหันไปเพ่งจิตจับเสียงฝูงนกกลุ่มนี้ดูเท่านั้นเผื่อบางทีอาจจะได้ยินก็เป็นได้เพราะถ้าหากแม้แต่เสียงร้องของฝูงนกที่อยู่ต่อหน้าเขานี้ก็ยังไม่สามารถได้ยินแล้วเขาจะมีทางได้ยินเสียงพสุธาเสียงอื่นๆได้อย่างไรกัน
เวลาผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมงและเป็นหนึ่งชั่วโมงแต่เจ้านกฝูงนั้นยังคงแสดง ละครเงียบ อยู่เบื้องหน้าสันติชาติทั้งๆที่เขาได้พยายามติดตามการเคลื่อนไหวของพวกมันด้วยสายตาของเขาอย่างไม่ลดละจนสันติชาติกำลังคิดจะล้มเลิกความตั้งใจของเขาแล้วอยู่พอดีทันใดหูของสันติชาติก็ได้ยินเสียงหนึ่งแว่วเข้ามาแม้เพียงชั่วอึดใจเดียว จิ๊บจิ๊บ เสียงนั้นมาจากนกตัวหนึ่งก่อนที่มันจะโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้าและลับจากคลองจักษุของเขาไป
เสียงกระหน่ำของน้ำตกก็หาได้หยุดเฉยไม่แต่ทำไมเขาจึงได้ยินเสียงนั้นเล่า? เขาคิดด้วยความประหลาดใจพร้อมกับมีกำลังใจที่จะนั่งเพ่งตามการเคลื่อนไหวของนกตัวอื่นเพื่อคอยฟังเสียงของพวกมันเหมือนอย่างที่เขาเพิ่งได้ยินเมื่อครู่
เพราะถ้าหากลองเคยได้ยินครั้งหนึ่งแล้วครั้งต่อไปก็ต้องมีโอกาสได้ยินอีกเป็นแน่ แต่แปลกเหลือเกินทั้งๆที่สันติชาติได้พยายามนั่งเพ่งต่อไปอีกหนึ่งชั่วโมงเต็มๆเขาก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นอีกเลยนอกจากเสียงน้ำตกเหมือนเช่นเดิม
ฉับพลันสันติชาติก็หวนนึกถึงประสบการณ์ในสมัยที่เขาเคยฝึกมวยภายในกับอาจารย์ลิ้มเมื่อหลายปีก่อนได้ว่าในสมัยนั้นอาจารย์ลิ้มได้พร่ำสอนเขาอยู่เสมอว่า ในการฝึกมวยภายในนั้นความพยายามหรือความตั้งใจที่จะทำอะไรสักอย่างหนึ่งก็อาจเป็นอุปสรรคต่อการเพ่งจิตหรือการรวมพลังของจิตได้
นักวิชาการหนุ่มฉุกคิดได้ว่าหรือว่าในการจะฟังเสียงพสุธานั้นความตั้งใจอย่างมุ่งมั่นของตัวเขาได้กลายมาเป็นอุปสรรคในการฟังของตนเอง? เป็นไปได้หรือไม่ว่าที่เมื่อครู่เขาสามารถได้ยินเสียงนกตัวนั้นก็เพราะว่าใจตนกำลังอยู่ในภาวะผ่อนคลายที่กำลังจะเลิกคร่ำเคร่งฝึกนั่ง? สันติชาติคำนึงในใจและรู้สึกใจสว่างวูบขึ้นมาเหมือนกับจับเคล็ดของการฟังเสียงพสุธาได้แล้ว
ภายในเย็นวันนั้นสันติชาติก็ปะสบความสำเร็จในการฟังเสียงพสุธาได้เมื่อเขาค้นพบว่ายามที่จะฟังเสียงนกถ้าหากใจเขาสามารถปล่อยคลายความยึดติดจากเสียงน้ำตกไปได้เขาก็จะได้ยินเสียงมัน
โดยที่ใจซึ่งคลายจากความยึดติดคือใจที่ถูกชะรำล้างให้สะอาดบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นด้วยการฝึกนั่งสมาธินั่นองและเสียงของพสุธาก็มิใช่เสียงใดอื่นแต่คือเสียงต่างๆบนโลกนี้ในยามที่เขาเอาใจเข้าไปจดจ่อฟังแต่เสียงที่มาจากธรรมชาตินั่นเอง
เมื่อสันติชาติกลับมารายงานความก้าวหน้าในการฟังเสียงพสุธาของเขาให้ท่านเมทัทสุทราบท่านก็บอกกับเขาว่า
ดีมากแสดงว่าเธอเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วใช่ไหมว่าถ้าหากใจของเราถูกชำระล้างให้สะอาดแล้วเราจะสามารถได้ยินเสียงที่ตามปกติคนธรรมดาจะไม่สามารถได้ยินเลยและมีแต่คนที่มีใจที่ถูกชำระล้างแล้วเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติที่จะได้ยินเสียงของฟ้าได้
...สองสัปดาห์ต่อมา...
ภายหลังจากที่สามารถฟังเสียงพสุธาได้แล้วสันติชาติก็มุ่งฝึกนั่งต่อไปเพื่อจะฟังเสียงของฟ้าว่าแต่ว่าเสียงของฟ้าที่อาจารย์เมทัทสุเอ่ยถึงนั้นหมายถึงเสียงของอะไรกันแน่?
ถ้าหากเสียงที่เกิดมาจากสรรพสัตว์ที่อยู่บนพื้นดินคือเสียงของพสุธา
เสียงที่เปล่งออกมาจากท้องฟ้าจะหมายถึงเสียงลมบนยอดเขาได้มั้ยหนอ?
สันติชาติได้ทดลองนั่งฟังเสียงฟ้าบนยอดเขามาเป็นเวลา 2 อาทิตย์เต็มๆแล้วแต่เขาก็ยังไม่ได้ความกระจ่างแต่ประการใดในที่สุดเขาจึงตัดสินใจขอคำแนะนำจากอาจารย์เมทัทสุ
อ้อยังไม่ได้ยินรึถ้าเช่นนั้นเราขอถามเธอหน่อยในตอนที่เธอตั้งใจจะฟังเสียงของฟ้านั้นหูของเธอได้ยินเสียงอื่นด้วยมั้ยเช่นเสียงนกเสียงลมหรือที่เราเรียกว่าเสียงของพสุธานั่น อาจารย์เมทัทสุถามศิษย์หนุ่มจากประเทศไทย
...?...
เราจะบอกเคล็ดให้แก่เธอต่อให้เธอได้ยินเสียงอะไรต่างๆเข้ามาในหูเธอก็ตามถ้าหากใจของเธอไม่ไปใส่ใจกับเสียงเหล่านั้นได้เธอก็จะได้ยินเสียงของฟ้าเองแหละ อาจารย์เมทัทสุกล่าวพร้อมกับสั่งให้สันติชาติไปฝึกฝนนั่งฟังเสียงของฟ้าต่อ
ถ้าไม่ไปใส่ใจกับเสียงของพสุธาก็จะได้ยินเสียงของฟ้าเองสันติชาติจึงทดลองปฏิบัติตามคำแนะนำนี้ของอาจารย์เมทัทสุแล้วเขาก็พบว่าความตั้งใจที่จะไม่ใส่ใจกับเสียงต่างๆเข้ามาในหูนั้นก็ยากพอๆกันหรือยากยิ่งกว่าการตั้งใจจะฟังให้ได้ยินเสียงใดเสียงหนึ่งท่ามกลางเสียงน้ำตกเสียอีก
ในตอนนี้เสียงของน้ำตกไม่ได้รบกวนจิตใจของเขาเหมือนอย่างในตอนแรกอีกต่อไปแล้วแต่เขาก็ยังไม่ได้ยินเสียงของฟ้าสักทีเขาเงยหน้าขึ้นดูท้องฟ้ามีปุยเมฆขาวกำลังลอยอยู่ 2 - 3 ก้อนนี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกคิดถึงบ้านเกิดในประเทศไทยเขาพยายามสลัดความคิดฟุ้งซ่านให้หลุดไปจากใจ
เขาหวนนึกถึงคำแนะนำของท่านเมทัทสุอีกตอนหนึ่งว่า
แน่นอนว่าการฟังเสียงของฟ้าไม่ใช่เรื่องง่ายความจริงเป็นเรื่องยากมากเสียด้วยแต่รับรองได้ว่าเราจะไม่บอกเธอให้ทำเรื่องที่ไม่มีวันทำได้เป็นอันขาดจงจำไว้อีกอย่างนะสันติชาติว่าแม้เรื่องง่ายๆถ้าหากใจเราไปมัวตั้งแง่คิดเอาเองก่อนว่าเป็นเรื่องยากเสียแล้วมันก็จะกลายเป็นเรื่องยากขึ้นมาจริงๆในทางตรงกันข้ามเรื่องที่ยากๆถ้าหากเธอคิดว่าเป็นเรื่องง่ายแล้วมันก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นมาจริงๆได้เช่นกันจงจำไว้ให้ดีนะว่าอย่าไปใส่ใจกับเสียงอื่นๆของพสุธาแล้วเธอก็จะได้ยินเสียงของฟ้าเอง
แม้จะรู้เคล็ดลับรู้เหตุรู้ผลแล้วแต่สันติชาติก็ยังทำตามเช่นนั้นไม่ได้สิ่งนี้มิใช่ความยากลำบากอันแสนสาหัสที่ผู้ฝึกฝนตนเองทุกคนต้องเผชิญอยู่เสมอหรอกหรือ? รู้ทั้งรู้แต่ก็ยังทำตามที่รู้ไม่ได้ช่องว่างระหว่างการรู้กับการทำได้นี้จะถมให้เต็มได้อย่างไรกัน?
ในขณะที่สันติชาติกำลังจะเริ่มรู้สึกท้อแท้นั้นปุยเมฆสีขาว 2-3 ก้อนที่เขาแหงนดูอยู่ก็ค่อยๆแตกกระจายเป็นปุยเมฆชิ้นเล็กชิ้นน้อยจนกระทั่งมันหลอมรวมกับท้องฟ้าสีครามเป็นหนึ่งเดียวสันติชาติเหม่อมองการเคลื่อนไหวของปุยเมฆนี้ด้วยการสนใจจนเกือบจะตกอยู่ในภวังค์ที่มุมปากของเขามีรอยยิ้มเล็กน้อยให้กับความงามของปุยเมฆที่หลอมละลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับท้องฟ้า
ในช่วงขณะนั้นเองที่สันติชาติรู้สึกเฉลียวใจขึ้นมาว่าจะเป็นสิ่งนั้นมั้ยหนอเพราะในขณะนั้นแม้หูของเขาก็ยังคงได้ยินเสียงต่างๆจากพสุธาเข้ามาเหมือนเดิมแต่ทว่าใจของเขากลับถูกปลดปล่อยจากสิ่งเหล่านี้อย่างน้อยก็ในชั่วขณะนั้นแต่มันกลับถูกดึงดูดให้เข้าไปผนึกแนบแน่นกับท้องฟ้าพร้อมๆกับปุยเมฆเหล่านั้นแต่ทำไมเขาจึงไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยเล่า?
ดูเหมือนว่าเธอจะได้ยินเสียงของฟ้าแล้วใช่มั้ยสันติชาติ เสียงของอาจารย์เมทัทสุดังขึ้นมาจากเบื้องหลังของเขาคราวนี้ใบหน้าของท่านเมทัทสุดูอ่อนโยนขึ้นไม่ดูเข้มงวดเหมือนแต่ก่อน
แต่ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนี่ครับอาจารย์ สันติชาติตอบตามความสัตย์จริง
อาจารย์เมทัทสุหัวเราะในลำคอแล้วกล่าวว่า
ทั้งๆที่เธอได้ยินมันแล้วเธอยังบอกว่าไม่ได้ยินอยู่อีกรึ
ท่านเมทัทสุเห็นสันติชาติคล้ายยังไม่เข้าใจจึงอธิบายเพิ่มเติมว่า
ที่เธอรับรู้เมื่อครู่นี้นั่นก็คือเสียงของฟ้าไงล่ะเพราะเสียงของฟ้าคือเสียงที่ไม่ได้ยินคือเสียงที่ไร้เสียงคือความเงียบสงัดอันเป็นที่สุดนั่นเองและในท่ามกลางความเงียบสงัดเช่นนี้ปัญหาทุกอย่างในใจของเธอจะถูกแก้ให้ตกได้อย่างหมดสิ้น
.....
ลองคิดให้ดูซิสันติชาติในช่วงระหว่างที่เธอกำลังฟังเสียงของฟ้าอยู่นั้นไม่มีความทุกข์เกิดขึ้นในใจเธอเลยจริงมั้ยในช่วงขณะนั้นเธอมิใช่ชายหนุ่มที่แบกทุกข์ของสังคมเอาไว้บน 2 บ่าและเธอก็มิใช่ชายหนุ่มผู้เดียวดายผู้มีความหลังอันปวดร้าวอีกต่อไปจริงมั้ย
......
ถ้าเธอยอมรับว่าใช่เธอก็ต้องหมั่นฝึกฝนใจของเธอให้หัดฟังเสียงของฟ้าบ่อยๆเข้าใจมั้ย
ครับอาจารย์ สันติชาติรับคำในที่สุดเขาก็ผ่านบทเรียนแห่งการฝึกฝนปฏิบัติไปได้อีกบทหนึ่ง