“ประชาธิปไตยส่วนตัว” ของทักษิณกับบริวารของเขาทั้ง “เสื้อแดง”ที่อยู่นอกสภา และ “สูทแดง” ในสภา กำลังถึงจุดจบเพราะบทบาทของ “พลเมืองเข้มแข็ง”ได้เพิ่มมากขึ้น รู้ทันและอ่านขาด
แต่อภิสิทธิ์กำลังจะแพ้ เพราะตัดสินใจไม่เด็ดขาด ไม่เอาประโยชน์คนส่วนใหญ่เป็นที่ตั้ง
มีผู้ถามอยู่เสมอๆ ว่า การเมืองใหม่คืออะไร คำตอบที่ได้อาจมีอยู่อย่างหลากหลาย แต่สิ่งที่เป็นรูปธรรมของการเมืองใหม่คือ การรู้เท่าทันนักการเมืองของประชาชน ทำให้เกิดเป็น “พลเมืองเข้มแข็ง” ขึ้นมาในสังคม
ความพยายามในการป่วนบ้านเมืองขนานใหญ่อีกครั้งของทักษิณ ชินวัตรและพวกที่เริ่มมาตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมาประสบกับการพ่ายแพ้อย่างหมดรูป จุดอวสานกำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ สาเหตุก็เพราะประชาชนรู้เท่าทันและอ่านขาดในเกมที่ทักษิณใช้
การจุดประเด็นเพื่อสร้างให้เป็นความขัดแย้งในสังคมโดยอาศัยเรื่องของอำมาตย์กับไพร่ มิได้ทำให้ “พลเมืองเข้มแข็ง” ในสังคมไทยไขว้เขว เพราะอ่านขาดว่า ความขัดแย้งในปัจจุบัน เป็นความขัดแย้งระหว่างสังคมไทยโดยรวมกับทักษิณกับพวก ที่ฝ่ายหลังต้องการย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีต แก้ผิดเป็นถูก และอาจมีเป้าหมายสุดท้ายต้องการสถาปนารัฐไทยใหม่ที่มีการปกครองแตกต่างไปจากปัจจุบัน เป็นความขัดแย้งระหว่าง “ประชาธิปไตยส่วนตัว” ที่เห็นแก่ตัว กับ “ประชาธิปไตยส่วนรวม” โดยอาศัยกลุ่มคนเสื้อแดงที่พยายามเรียกตนเองว่า “ไพร่” เป็นเครื่องมือ เป็นเหยื่อ เพื่อขับเคลื่อน
ความพ่ายแพ้จากการชุมนุมที่ผ่านฟ้าจึงกลายมาเป็นการชุมนุมที่ราชประสงค์เป็นการเพิ่มเติม เพราะการกดดันในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาจากการชุมนุมที่ผ่านฟ้าได้แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าจะยกระดับให้สูงสุดเท่าใดก็ไม่ประสบผลสำเร็จตามที่ทักษิณและพวกต้องการ เพราะข้อเรียกร้องขาดความชอบธรรม
จุดจบจึงอาจจะมาอยู่ที่ราชประสงค์ เพราะคาดการณ์ผิดว่าความอดทนของคนกรุงเทพฯ คนไทย และนายทุนฯ ที่มีต่ำมาโดยตลอดจากอดีตที่ผ่านมาจะไม่สามารถอดทนต่อยุทธการ “กวนส้นตีน” ของคนเสื้อแดง แล้วจะหันมากดดันนายกฯ อภิสิทธิ์ให้จัดการแก้ปัญหาการชุมนุมอย่างเฉียบขาดและรุนแรง
แต่คนคำนวณจึงมิสู้ฟ้าลิขิต ตั้งแต่มีการชุมนุม คนไทยโดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ ในวันนี้ได้กลายเป็น “พลเมืองเข้มแข็ง” มีความอดทนและอดกลั้น แต่ที่สำคัญคือ รู้เท่าทัน และมีสติ สามารถแยกแยะข้อเท็จจริงของสถานการณ์ได้อย่างถูกต้อง เพราะหากมีความรุนแรงเกิดขึ้น คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุดก็คือคนที่กำลังพ่ายแพ้ในทุกสิ่งทุกอย่างเช่นทักษิณ ชินวัตรกับพวก
คนไทยในปัจจุบันกำลังก้าวข้ามพ้นทักษิณไปอย่างช้าๆ แต่มั่นคง เปรียบดังจอกแหนที่ลอยอยู่บนน้ำ ไม่ว่าจะโยนก้อนหินไปกี่ครั้งก็ไม่สามารถเปิดช่องว่างบนผิวน้ำให้เห็นได้ การยั่วยุหรือการพยายามใช้ความรุนแรงของคนเสื้อแดงและแกนนำไม่ว่าจะเป็น การปิดถนนชุมนุมอย่างเกินพอดี การใช้ “มวลยนตร์” ป่วนเมือง การเทเลือด การยกกำลังไปปิดล้อมที่กรมทหารราบที่ 11 การบุกเข้าไปในสถานที่ราชการหลายแห่ง การใช้วาจากักขฬะยั่วยุถึงขั้นข่มขู่เอาชีวิต กกต.หากไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์ หรือใครก็ได้ที่ไม่เห็นด้วยกับพวกตน จึงไม่สามารถทำให้คนกรุงเทพฯ และคนไทยเป็นแนวร่วมสนับสนุนคนกลุ่มนี้ได้
เป็นความล้มเหลวและพ่ายแพ้ที่ชัดเจน ไม่ว่าแกนนำคนเสื้อแดงจะประกาศยกระดับการต่อสู้ไปในระดับใดก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะ “พลเมืองเข้มแข็ง” รู้เท่าทันพวกคุณแล้วว่าภายใต้ข้ออ้างประชาธิปไตยที่เรียกร้องเป็น “ประชาธิปไตยส่วนตัว” ทำให้ทักษิณและพวกกำลังคลั่งอกแตกตายกับสโลแกนของการชุมนุมอย่าง “สันติอหิงสา” ที่ไม่ตรงกับใจ
คนที่กำลังจะพ่ายแพ้อีกคนหนึ่งก็คือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จากการเจรจากับแกนนำเสื้อแดงโดยเสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนการยุบสภาภายใน 9 เดือนและการละเลยในการรักษาความสงบเรียบร้อย ทำให้กลายเป็นรัฐบาลเป็ดง่อย ขาดการบังคับใช้กฎหมายปล่อยให้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมายในปัจจุบัน
คนส่วนใหญ่ไม่ได้เรียกร้องให้ยุบสภา ไม่ได้เรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ หากแต่เรียกร้องให้รักษาความสงบเรียบร้อยโดยการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดมิให้แกนนำเสื้อแดงมาข่มขู่คนไทยทั้งประเทศและใช้สิทธิเกินขอบเขต คล้ายดั่งว่าประชาชนที่ไม่ใช่เสื้อแดงเป็นคนอยู่ในการบังคับปกครองที่นึกจะทำอะไรก็ได้
ผู้เขียนเห็นว่านายกฯ อภิสิทธิ์ของเรากำลังเดินไปในทางที่ผิดในการแก้ไขวิกฤตการณ์ทางการเมืองในปัจจุบันด้วยการอาศัยเวลาเป็นเครื่องมือคลี่คลายการชุมนุม เพราะสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองที่เป็นอยู่ในขณะนี้อาจกล่าวได้ว่ามาจากการแสวงหาประชาธิปไตยที่เห็นแก่ตัวของหลายๆ ฝ่ายที่อ้างว่า ประเทศไทยในปัจจุบันไม่มีประชาธิปไตย ซึ่งขาดเหตุผลความชอบธรรมโดยสิ้นเชิง แต่อย่าลืมว่าทักษิณและพวกไม่สนใจยอมรอแน่นอนเพราะมีค่าใช้จ่ายแต่ละวันชุมนุมสูง
สภาพอนาธิปไตยไร้ขื่อแปที่กำลังเป็นไปอยู่ในขณะนี้ไม่สามารถแก้ไขได้โดยวิธีการลอยตัว สร้างภาพ โดยไม่ยอมเผชิญหน้ากับปัญหาอย่างแท้จริงของนายกฯ อภิสิทธิ์ การไม่สามารถรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของคำสั่งที่นายกฯ ได้ประกาศออกมาหลายๆ ฉบับเป็นประจักษ์พยานของความล้มเหลวในการรักษาความสงบโดยการบังคับใช้กฎหมายอย่างแท้จริง จนทำให้ความฮึกเหิมไม่เกรงกลัวกฎหมายของคนเสื้อแดง เพราะใส่เสื้อแดงแล้วจะทำผิดกฎหมายอะไรก็ได้ ไม่มีใครสามารถแตะต้องพวกเขาได้ ทั้งๆ ที่เป็น “ภาพลวงตา” ที่สร้างโดยแกนนำคนเสื้อแดง
ทำไมอภิสิทธิ์จึงต้องไปฟ้องศาลแพ่งขอคำสั่งศาลให้คนเสื้อแดงออกจากพื้นที่ชุมนุมทั้งๆ ที่อภิสิทธิ์เองก็มีอำนาจอยู่ตามกฎหมายที่คุณประกาศเองอยู่แล้วมิใช่หรือ และคำวินิจฉัยของศาลก็ออกมาเช่นนั้นจริงๆ ดูจะขาดความมั่นใจหรือเกิดอาการ “ปอดแหก” เอามากๆ ไม่กล้าใช้อำนาจโดยลำพัง ต้องเอาศาลมาเป็นกำแพงพิงหลัง
อย่าไร้เดียงสาจนไม่เข้าใจว่าสถานการณ์ในขณะนี้ทักษิณและพวกกำลังไล่ล่ามาเอาอำนาจจากคุณอยู่แล้วไม่ว่าจะต้องเอาชีวิตคุณด้วยหรือไม่ และคุณกำลังจะขาดแนวร่วมจากคนที่เคยสนับสนุนเพราะมีอำนาจแต่ไม่สามารถใช้อำนาจนั้นมาปกป้องพวกเขาได้ คุณจะมาแถลงการณ์พิเศษแค่เพียงว่าจะดำเนินการตามกฎหมายเหมือนสถานการณ์ปกติ เมื่อศาลไม่ออกหมายจับก็จะรอให้พวกที่กระทำผิดมามอบตัวเองโดยไม่ดำเนินการอะไรเลยหรืออย่างไร
อย่าลืมว่าคุณกำลังต่อสู้กับแกนนำคนเสื้อแดงที่พร้อมจะใช้ทุกวิถีทางไม่ว่าจะถูกกฎหมายหรือในการโค่นล้มเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐ แกนนำคนเสื้อแดงกำลังท้าทายอำนาจรัฐอยู่และดูเหมือนกำลังจะทำได้สำเร็จด้วย คนไทยที่ฟังนายกฯ แถลงคงไม่อยากรู้เพียงแค่ว่าคุณจะเปลี่ยนแปลงกำหนดการไปต่างประเทศ หากแต่อยากรู้ว่าคุณจะจัดการอย่างไรแล้วเสร็จเมื่อใด
“พลเมืองเข้มแข็ง” ได้เรียนรู้จากข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์จากความรุนแรงในอดีตของพวก “กบฏเสื้อแดง” เมื่อ 8-13 เม.ษ. 52 เมื่อเกือบ 1 ปีที่ผ่านมาว่าการเคลื่อนไหวเป็น “ประชาธิปไตยส่วนตัว” ของทักษิณ ที่ต้องการก่อความรุนแรงเพื่อที่จะมาเป็นเงื่อนไขเพื่อเจรจา หนีคดี หนีคุก หนีการยึดทรัพย์ โดยอาศัยการจับประชาชนและประเทศไทยเป็นตัวประกัน การปิดถนนหลายสายในกรุงเทพฯ ก็ดี การล้มการประชุมนานาชาติที่พัทยาก็ดี หรือการก่อการจลาจลที่บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-แยกดินแดง ก็เพื่อที่จะเรียกร้องให้มีการเจรจา จึงเห็นได้ชัดจากทักษิณ ชินวัตรที่บังอาจเรียกร้องให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเข้ามาแทรกแซงเพื่อระงับเหตุความรุนแรงทั้งๆ ที่ความรุนแรงดังกล่าวพวก “กบฏเสื้อแดง” เป็นผู้ก่อขึ้นมาทั้งสิ้น และพวก “เสื้อสูท” ยังพยายามจะทำขาวให้เป็นดำ
แล้วทำไมนายกฯ อภิสิทธิ์ไม่เรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีต ไม่พยายามจำกัดขอบเขตการชุมนุมให้ได้ภายในเร็ววันเพื่อรอเวลาการสลายการชุมนุม อย่าอ้างแต่เพียงไม่อยากเผชิญหน้า จะต้องรอให้คนไทยที่หมดความอดทนออกมาปะทะกันเองเพราะทนให้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมายไม่ได้หรืออย่างไร วาระ “ประชาชนมา (รับภาระ/ตาย) ก่อน” ของคุณดูท่าจะเป็นจริงเสมอ
ผู้เขียนขอเตือนนายกฯ อภิสิทธิ์ด้วยความหวังดีว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญและยุบสภา ตามข้อเรียกร้องของกลุ่มคนเสื้อแดงไม่ว่าจะเร็วหรือช้า หรือการลาออก ล้วนจะเป็นหนทางที่ทำให้ทั้งนายกฯ อภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์หมดอนาคตทางการเมืองได้โดยง่ายเพราะแสดงความไร้ประสิทธิภาพ มันไม่ใช่ทางออกจากวิกฤตการณ์การเมืองอย่างแน่นอนในขณะนี้ เพราะมิได้เป็นประโยชน์ของคนส่วนรวม ประชาชน “พลเมืองเข้มแข็ง” เห็นต่างจากท่าน
ทางออกจากวิกฤตการเมืองในปัจจุบันก็คือ การแสดงความเป็นผู้นำอีกครั้งด้วยการเอาชนะทักษิณ ชินวัตร โดยการกดดันให้ทักษิณ ชินวัตรและพวก ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศไทยให้เท่าเทียมกับประชาชนคนอื่นๆ ให้ได้ต่างหาก เพราะเป็น “ประชาธิปไตยส่วนรวม” ที่ประชาชน “พลเมืองเข้มแข็ง” จะเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้ท่านได้แอบอิง
จุดเริ่มต้นที่ต้องทำคือ การจำกัดขอบเขตการชุมนุมที่ราชประสงค์ให้ได้ มิเช่นนั้นอภิสิทธิ์จะ “แพ้” อย่างแน่นอน