4. พันธมิตรฯ รำลึก ย่างก้าวของพันธมิตรฯ
พี่น้องเอย พี่น้องรู้มั้ยว่า เพราะพวกเรารักแผ่นดินนี้ รักอย่างเหลือล้น รักอย่างเหลือเกินอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ แผ่นดินนี้จึงงดงาม ความงดงามของแผ่นดินนี้ มิใช่ดำรงอยู่แค่ทางกายภาพที่มีทั้งภูเขา ป่าไม้ ทะเล แม่น้ำ ลำห้วยและท้องไร่ท้องนาอันอุดมสมบูรณ์เท่านั้น แต่มันยังมีความงดงามที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้นดำรงอยู่อีก หากผู้นั้นใช้ หัวใจ เข้าไปมองโลกและชีวิตในแต่ละย่างก้าวก็จะแลเห็นความงดงามอันนี้ได้...
* * *
อากาศปลายเดือนพฤษภาคม ปี 2551 รุ่มร้อนยิ่งนัก ท่ามกลางดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรงดุจเตาเผาถ่านซึ่งระอุราวกับกำลังจะหลอมทุกสรรพสิ่งให้ละลาย เพราะแม้กระทั่งลมที่พัดผ่านกายพวกเรา ก็ยังกลายเป็นลมร้อนอันเนื่องมาจากเปลวแดด ย่างก้าว ของพวกเราพี่น้องพันธมิตรฯ เริ่มต้นอีกครั้งที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นที่ชุมนุมของผู้กล้าทั่วทั้งแผ่นดินอีกครั้ง
นับจากวันนี้เป็นต้นไป ตราบจนถึงวันที่พวกเราบรรลุเป้าหมายร่วมกัน แต่ละ ย่างก้าว ที่พวกเราร่วมเดิน จะเป็นการเดินเพื่อมา “รู้สึกดีๆ ร่วมกัน” อีกครั้ง เพราะว่าสำหรับผู้คนจำนวนไม่น้อยในสังคมนี้ แม้แต่แค่การมี “ความรู้สึกดีๆ” ก็ดูเหมือนยังกลายเป็นสิ่งที่หาได้ยากในชีวิตประจำวันของพวกเขาไปเสียแล้ว
พวกเราออกเดินเท้าร่วมกันอีกครั้งเพื่อ “กอบกู้” สิ่งล้ำค่าที่ถูกกลืนหายไปในกระแสสังคมทุนนิยมสามานย์ในปัจจุบัน พวกเราออกเดินด้วยเจตจำนงอันแน่วแน่ว่า แต่ละก้าวของพวกเราจะเป็น การย่างก้าวไปอย่างสงบ อย่างมีสติ และบริบูรณ์ไปด้วยพลังแห่งความรักแผ่นดิน และพลังแห่งศรัทธาในธรรม แม้ว่าแต่ละก้าวของพวกเราจะเป็น ย่างก้าว เล็กๆ ก็จริง แต่พวกเราจะทำให้แต่ละ ย่างก้าว นี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความงดงาม แล้วสิ่งที่งดงามเล็กๆ ในแต่ละ ย่างก้าว นี้เองที่จะทำให้ “ความหมายที่ยิ่งใหญ่” ในจิตใจของพวกเราทุกคน
จะว่าไปแล้ว พวกเราส่วนใหญ่ล้วนยินดีสละได้ทั้งเวลา แรงกาย แรงทรัพย์ และแรงใจก็เพื่อที่จะออกมาเดินทางร่วมกันอีกครั้ง เพื่อกอบกู้ “ความรู้สึกดีๆ” ที่พวกเรายากที่จะสัมผัสได้ในยุคที่อธรรมครองเมือง และใช้เงินเป็นศูนย์กลางอำนาจในการครอบงำจิตใจของผู้คน การออกเดินทางร่วมกันของพวกเราจึงเป็นการแสดงออกของพวกเราที่จะไม่ยอมอ่อนข้อต่อระบอบทักษิณที่ได้สร้างหายนะ และวิกฤตครั้งใหญ่ให้แก่บ้านเมืองในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้
แต่ละ ย่างก้าว ของพวกเราที่ออกเดินร่วมกัน จึงเป็นการทำหน้าที่ของพวกเราเพื่อแผ่นดินนี้ พวกเราจักทำหน้าที่นี้ไปเรื่อยๆ ตามกำลัง พวกเราไม่รีบร้อนต้องการเห็นผลอันยิ่งใหญ่ในทันทีทันใด พวกเราไม่เร่ง แต่พวกเราก็จะไม่หยุดเดินก้าวไปข้างหน้าเพื่อทำในสิ่งที่พวกเราเชื่อว่า มันจะสร้างความงดงามให้กับชีวิตเล็กๆ ของพวกเรา และสังคมรอบข้างได้
แต่ละย่างก้าวของพวกเราบนท้องถนน จึงเป็นการก้าวเดินทางจิตวิญญาณของพวกเราไปพร้อมๆ กัน ยิ่งเดิน การก้าวเดินทางจิตวิญญาณของพวกเรา ก็ยิ่งทอดยาวออกไปสู่ซอกซอยแห่งน้ำใจไมตรีของผู้คนหลากหลายจำนวนมากอย่างที่ไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่า เส้นทางแห่งการ “กู้ชาติ” จะนำพาพวกเรามาได้ไกล และเปี่ยมล้นไปด้วยมิตรภาพ และมากไปด้วยน้ำใจได้ถึงเพียงนี้
ทุกครั้งที่รำลึกถึงการก้าวเดินของพี่น้องพันธมิตรฯ ตลอดช่วงเวลา 193 วัน ในปี 2551 นั้น สิ่งที่ตระหนักได้อย่างชัดเจนก็คือ ความหมายที่ยิ่งใหญ่ และความงดงามแห่งมิตรภาพในหมู่พี่น้องพันธมิตรฯ ที่เกิดอย่างฉับพลัน เมื่อพวกเรามารวมตัวกัน แม้ว่าจะเป็นการมาชุมนุมกันของผู้คนที่มาจากทั่วทุกสารทิศ และไม่เคยรู้จักหน้าค่าตากันมาก่อนก็ตาม
ไม่มีห้วงยามใดที่ทำให้พวกเราตระหนักชัดว่า มิตรภาพ และน้ำใจไมตรีช่างเป็นสิ่งที่งดงามยิ่งนักเท่ากับช่วง 193 วันนั้นแล้ว ความงดงามแห่งมิตรภาพ และไมตรีจิตที่บังเกิดขึ้นและงอกงามตลอดช่วง 193 วันนั้น มันทำให้การเดินทางทางจิตวิญญาณของพวกเราเปี่ยมไปด้วยความหมายอันงดงามสุดพรรณนา
ชีวิตนี้ช่างสั้นนัก พวกเราจำนวนไม่น้อยที่ออกเดินทางร่วมกันในครั้งนั้นอยู่ในวัยกลางคน และสูงวัยอันเป็นวัยที่ความตายอาจเข้ามาพลัดพรากชีวิตของพวกเราไปได้ทุกเมื่อ แต่พลังแห่งมิตรภาพและไมตรีจิตในหมู่พี่น้องพันธมิตรฯ จะช่วยหล่อเลี้ยง และเป็นกำลังใจให้แก่พี่น้องพันธมิตรฯ ให้สามารถ “ผ่านพ้น” ชีวิตนี้ไปได้อย่างมีความหมายที่งดงาม
ต่อให้หลังจากนี้เป็นต้นไป ชีวิตที่เปราะบางของพวกเราจะแตกสลายย่อยยับดับไปก็ตาม พวกเราก็จะน้อมรับความตายนี้ด้วยความยินดี ด้วยความอิ่มอกอิ่มใจที่ได้ทำหน้าที่เพื่อแผ่นดินอย่างสมบูรณ์ พร้อมแล้วและด้วยความทรงจำที่งดงาม
ย่างก้าว ของแกนนำพันธมิตรฯ ได้ผสานกับ ย่างก้าว ของพวกเราแต่ละคนจนกลายเป็นการเดินทางร่วมกันบนเส้นทางเดียวกันอันเป็น วิถีแห่งการกู้ชาติ ซึ่งทำให้ชีวิตที่แสนเปราะบางแต่ละชีวิตของพวกเราสามารถมาประสานพลัง และเปล่งประกายอันเจิดจ้าร่วมกันได้ เพราะพวกเราแต่ละคนคือเทียนดวงน้อยที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วแผ่นดิน ความงดงามมิได้เกิดจากประกายไฟดวงใดดวงหนึ่ง หากแต่เพราะมีประกายไฟดวงเล็กๆ จำนวนมากที่ส่องจรัสออกมาพร้อมๆ กันในห้วงเวลาเดียวกัน โดยมาชุมนุมพร้อมกันในพื้นที่เดียวกันจนกลายเป็น “เทียนแห่งธรรม” ดวงใหญ่มหึมา จึงทำให้แผ่นดินนี้งดงามและสว่างไสวไปด้วยธรรมอย่างฉับพลัน
แต่ละ ย่างก้าว ของพวกเราที่ออกเดินทางร่วมกันในครั้งนั้น ทำให้พวกเราตระหนักชัดว่า ชีวิตที่แท้คือการเกื้อกูลกัน ความเป็นมนุษย์ที่แท้จะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อมันปรากฏผ่าน “ตัวตนของผู้อื่น” เท่านั้น มิใช่การมีอยู่ของตัวตนของเราแต่เพียงผู้เดียว การออกเดินของพวกเรา จึงเป็นการออกเดินเพื่อไปสัมผัสกับมนุษยธรรม คุณธรรม ความดี ความงามที่มีชีวิตชีวา และสามารถจับต้องได้รู้สึกได้เดี๋ยวนั้น
ต่อให้แต่ละ ย่างก้าว ของพวกเราต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรค ความทุกข์ยากลำบากเพียงใด แต่พวกเราจักตระหนักรู้อยู่เสมอว่า สำหรับผู้กล้าแล้ว อุปสรรคความยากลำบาก มิใช่คำสาปแช่ง แต่เป็นของขวัญ และคำอวยพรที่ดีที่สุดที่ผู้นั้นได้รับจากฟ้าดิน อำนาจที่แท้จริงของมนุษย์นั้นอยู่ในหัวใจที่อ่อนโยนแต่เข้มแข็งและกล้าหาญ เส้นทางสายนี้จึงเป็นหนทางอันศักดิ์สิทธิ์
* * *
สายฝนที่ตกลงมาอย่างหนักราวกับฟ้ารั่วในช่วงปลายเดือนสิงหาคม ปี 2551 ที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งบัดนี้ได้กลายมาเป็นที่ชุมนุมพักค้างของพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจำนวนเรือนหมื่นเรือนพัน หยาดฝนเหล่านี้โปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่องพรมรดเวทีปราศรัยชั่วคราว ซึ่งประกอบขึ้นมาจากรถหกล้อสองคันที่เอาท้ายรถมาชนกันจนเปียกชุ่มไปหมด
เสียงเม็ดฝนที่โปรยปรายกระทบพื้นเวทีราวกับดุริยางค์ของพระพิรุณเทพที่กำลังเฉลิมฉลองชัยชนะอีกก้าวหนึ่งของขบวนการภาคประชาชน ทุกอณูอากาศอาบไอฝนจนชุ่มฉ่ำ ทุกชีวิตเรือนหมื่นในบริเวณนั้นล้วนเปล่งประกายชีวิตอย่างเจิดจ้าและมีสีสันกว่าปกติ ส่วนใหญ่ลุกขึ้นยืนร่วมกันร้องรำทำเพลง และเริงระบำท่ามกลางสายฝนอย่างเริงร่า
ผมยืนอยู่ข้างเวทีชั่วคราว เหลียวมองไปรอบๆ ตัวแลเห็นผู้ปราศรัยท่านหนึ่งซึ่งก็คือ อาจารย์ภูวดล ทรงประเสริฐ ซึ่งเป็นศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยชื่อดังที่มีผลงานทางวิชาการออกมาเป็นจำนวนมาก ได้ออกมายักย้ายส่ายสะโพกเต้นรำบนเวทีปราศรัยท่ามกลางสายฝน และเสียงเพลงเสียงโห่ร้องอย่างรื่นเริงเบิกบานใจของผู้ชุมนุม บรรยากาศในขณะนั้นคึกคักถึงขีดสุด บัดนั้นเองที่ตัวผมได้ตระหนักว่า พวกเราได้ย่างก้าวมาไกลโขแล้ว และพวกเราจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป
บทบาทหน้าที่ของนักวิชาการ และปัญญาชนนั้นอยู่ที่การชี้นำ และกำหนด “ความหมาย” ของความจริง ความรู้ ความดี และความงามให้แก่สังคม ในเมื่อสังคมวันนี้ถูกระบอบทุนนิยมสามานย์ครอบงำ และ “บิดเบือน” ทำให้ความหมายของความจริง ความรู้ ความดี และความงามแตกต่างไปจากอดีต การลุกขึ้นมาต่อสู้ของพวกเราแต่ละคนเพื่อ “เปลี่ยนแปลง” ความหมายของความจริง ความรู้ ความดี และความงามให้ถูกต้องอย่างที่ควรจะเป็นตามคำนิยาม และตามหลักธรรม จึงเท่ากับไปเปลี่ยนแปลงความหมายของชีวิต ของสังคม ของโลก และของจักรวาลอย่างทั้งหมดทั้งสิ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะเมื่อใดก็ตาม ที่ความหมายของชีวิตของพวกเราพี่น้องพันธมิตรฯ ได้เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป พี่น้องจงรู้ไว้ด้วยเถิดว่า ความหมายของการเมืองไทย ของสังคมไทย ของโลก และของสรรพสิ่งก็ย่อมเปลี่ยนตามไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน
ความจริง ความดี ความงามจักมีความหมายปรากฏอยู่เพียงแค่ชั่วขณะจิต ขณะคิดช่วงนั้นในขณะนั้นเท่านั้น เพราะฉะนั้นหากผู้นั้นเลือกที่จะ “ยิ้ม” ออกมาในทุกสภาพการณ์ ในทุกย่างก้าวของชีวิตอย่างจริงใจ อย่างเปี่ยมไปด้วยไมตรีจิต และมิตรภาพไม่ว่ากับผู้ใดก็ตาม เมื่อนั้นคนผู้นั้นกำลังสำแดงความจริง ความดี ความงามของผู้นั้นออกมาให้สัมผัสได้ บัดนี้ผมรู้สึกว่าพี่น้องพันธมิตรฯ ทุกคนที่ชุมนุมอยู่ที่นั่น รวมทั้งพี่น้องพันธมิตรฯ ที่เฝ้าติดตามอยู่หน้าจอโทรทัศน์ ASTV อย่างใจจดใจจ่อ ในขณะนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ตาม ต่างก็เป็นความจริง ความดี ความงามที่เผยตัวออกมา และสามารถสัมผัสรู้ได้ สามารถรู้สึกได้จากใจของผู้นั้นเอง
ผมยิ้มน้อยๆ ให้กับตนเอง และยิ้มให้กับผู้คนรอบข้างทั้งยิ้มแย้มให้กับสรรพสิ่งรอบตัว โอ! ชีวิตนี้ช่างเป็นสิ่งอัศจรรย์เหลือเกิน ชีวิตนี้ช่างงดงามเหลือเกิน หากเปรียบเทียบชีวิตเหมือนเส้นทางสายหนึ่ง ตัวผมก็ได้เดินมาเกินครึ่งทางแล้ว หรือหากเปรียบเทียบชีวิตเป็นช่วงเวลาช่วงหนึ่งที่มีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ ชีวิตของผมก็มีเวลาเหลืออยู่บนโลกใบนี้น้อยกว่าเวลาที่ได้ใช้มาแล้ว ผมตระหนักรู้อย่างชัดแจ้งว่า ช่วงเวลาที่เหลืออยู่น้อยของผมนี้มันมีค่าเหลือเกินในทุกๆ ขณะจิต และตัวผมก็ดีใจ และภูมิใจอย่างยิ่งที่ตัวผมสามารถใช้เวลาที่เหลืออยู่น้อยแล้วนี้ร่วมเดินทางไกลไปกับพี่น้องพันธมิตรฯ ที่รักยิ่งของผม นับตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมา
พี่น้องเอย พี่น้องรู้มั้ยว่า การมีชีวิตรอดอยู่บนโลกใบนี้ มิใช่เรื่องง่ายยิ่งการมีชีวิตอยู่อย่างยืนหยัดทะนง อย่างสามารถ “เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน” ยิ่งเป็นเรื่องยากที่ไม่ใช่ใครๆ ก็สามารถที่จะกระทำเช่นนั้นได้ แต่ผมเชื่อมั่นว่า พี่น้องพันธมิตรฯ ที่รักของผมทุกคนที่ได้ผ่านห้วงยาม 193 วันนั้นร่วมกันมาแล้ว จะสามารถมีชีวิตอยู่อย่างงดงาม และอย่างภาคภูมิใจในตัวเองได้
เพราะพี่น้องพันธมิตรฯ ของผมทุกคนได้ “เลือก” ที่จะใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า อย่างมีความหมาย อย่างไม่สำนึกเสียใจในสิ่งที่ได้กระทำลงไปเพื่อส่วนรวม อย่างเสียสละ อย่างไม่เห็นแก่ตัว และอย่างไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากใดๆ นี่คือความภาคภูมิใจที่มันจะตราตรึงอยู่กับจิตใจของเราไปตลอดชีวิตจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต เพราะพวกเราทุกคนสามารถตอบตนเองได้ว่า แต่ละย่างก้าวของพวกเรานั้นงดงาม