5. พันธมิตรฯ รำลึก สงครามของพันธมิตรฯ
พี่น้องเอย พี่น้องรู้มั้ยว่า “สงคราม” 193 วันของพี่น้อง ในปี 2551 ที่ผ่านมานั้น มันมีลักษณะเป็น สงครามระหว่างความดีกับความชั่ว ดำรงอยู่ หรือมีลักษณะเป็น สงครามเพื่อกอบกู้พลังศีลธรรม ให้กลับคืนมาสู่สังคมนี้อีกครั้งมากกว่าที่จะเป็น การต่อสู้ทางการเมืองแบบที่มีอยู่เป็นธรรมดา
จะว่าไปแล้ว ศีลธรรม หรือรากฐานที่ใช้จำแนกความดีความชั่วนั้น ก็เป็น ผลผลิตของสัตว์สังคม อย่างหนึ่ง และเป็น วิวัฒนาการทางธรรมชาติของสัตว์ชั้นสูง ขอให้พี่น้องลองคิดดู ถ้าหากในโลกนี้มีมนุษย์อยู่เพียงคนเดียวโดยไม่มีสังคม ไม่มีสัตว์ มีแต่ธรรมชาติที่เป็นต้นไม้ ป่าไม้ ภูเขา ทะเล แม่น้ำเท่านั้น จะเห็นได้ว่า มนุษย์ผู้นั้นไม่จำเป็นต้องมี ระบบศีลธรรม ใดๆ เลย และข้อบัญญัติทางศีลธรรมของศาสนาก็ไม่มีความจำเป็นโดยสิ้นเชิงเช่นกัน
เราฆ่าคน และสัตว์อื่นๆ ไม่ได้ เพราะไม่มีอะไรให้ฆ่า
เราลักขโมยไม่ได้ เพราะไม่มีอะไรให้ขโมย ทุกอย่างในโลกนี้เป็นของเราอยู่แล้ว เพราะไม่มีใครมาอ้างความเป็นเจ้าของ
เราประพฤติผิดในกามไม่ได้ เพราะมีเราอยู่เพียงลำพัง
เราโกหกใครไม่ได้ เพราะไม่มีใครที่จะมาพูดด้วย และต่อให้เราเมาสุราที่เราหมักเอง เราก็แค่ขาดสติ แต่ทำร้ายใครไม่ได้ เพราะไม่มีใครให้ทำร้าย
จะเห็นได้ว่า การทำความดีความชั่วนั้น มันเกิดขึ้นได้และเกิดขึ้นจริง เมื่อมนุษย์มารวมกลุ่มกันเป็นสัตว์สังคมเท่านั้น และตัวศีลธรรมก็คือ ระบบแห่งคุณค่าที่ได้มีการรวบรวมคุณค่าหรือคุณธรรม หรือคุณสมบัติต่างๆ ที่จำเป็นต่อการอยู่ร่วมกันในสังคมเอาไว้อย่างเป็นระบบนั่นเอง
พี่น้องเอย พี่น้องรู้มั้ยว่า ในสายตาของจักรวาล หรือถ้าเรามองจากมุมมองของวิวัฒนาการของจักรวาลแล้ว มนุษย์ทุกคนก็คือ เศษซากของดวงดาวต่างๆ ในจักรวาลที่ได้มาประชุมรวมตัวกันขึ้นมา จนเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีปัญญา ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมอย่างโลกใบนี้ แต่ชีวิตมนุษย์นั้นสั้นยิ่งนัก สั้นเหลือเกินเมื่อเทียบกับความยาวนาน และยั่งยืนของจักรวาล มิหนำซ้ำต่อให้มนุษย์เราเฉลียวฉลาดแค่ไหน ก็คงไม่มีปัญญาที่จะรับรู้ และเข้าใจจักรวาลได้อย่างจบสิ้น
ไม่ว่ามนุษย์เราจะพยายามศึกษาเพียงใดก็ตาม จักรวาลก็ยังคงเป็นสิ่งที่มนุษยชาติไม่สามารถครอบครองได้ เพียงแต่ ในฐานะที่เป็นปัจเจก มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่จะเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลได้ทุกคน
คนเราทุกคนสามารถเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลได้ โดยการ “ก้าวข้าม” หรือ “ข้ามพ้น” อัตตาตัวตนของเราเอง เพราะโดยเนื้อแท้แล้ว คนเราคือส่วนหนึ่งของจักรวาลตั้งแต่เริ่มแรกอยู่แล้ว เพียงแต่คนเราถูกอวิชชาหรือความไม่รู้ได้สร้าง “ตัวตน” หรืออัตตาของเราขึ้นมาซึ่งมีความรู้สึกที่ “แปลกแยก” จากจักรวาล และถูกความหลงผิดเช่นนั้นจองจำเอาไว้เสมอมา
พี่น้องเอย พี่น้องรู้มั้ยว่า คนเราสามารถเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลได้ โดยผ่านการบำเพ็ญความดีเพื่อพัฒนาตัวตนที่สูงส่ง (higher self) ของผู้นั้นขึ้นมาก่อนที่ผู้นั้นจะต้อง “ก้าวข้าม” ความดีเหล่านั้นทั้งปวงอีกทีเพื่อ “สลายตัวตน” ที่แม้กระทั่งจะเป็นตัวตนที่สูงส่งเทียมเทพยดาของผู้นั้นก็ตาม เพื่อเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลโดยสมบูรณ์
เพราะแท้ที่จริงแล้ว มนุษย์เราเป็นส่วนหนึ่งของ องค์รวมที่เรียกว่า จักรวาล อยู่แล้ว เพียงแต่ประสบการณ์แห่งความมีตัวตน และความเป็นตัวตนด้วยความคิด ด้วยความรู้สึกของคนเรานั้น มันเป็นภาพลวงตาหรือเป็นมายาคติที่ทำให้ตัวเราแยกตัวออกมาจากองค์รวมแห่งจักรวาลนี้ มายาภาพนี้จึงกลายมาเป็นกรงขังหรือคุกที่จองจำจิตวิญญาณของผู้นั้นเอาไว้ มิหนำซ้ำคุกนี้คือ อวิชชาความไม่รู้ หรือความหลงผิดที่คนผู้นั้นสร้างขึ้นมาเองเพื่อจองจำตัวตนของตัวเองเอาไว้อย่างที่ไม่มีใครคนใดสามารถมาปลดปล่อยคนผู้นั้นให้ออกจาก คุกแห่งอวิชชา นี้ได้ นอกจากตัวผู้นั้นเอง
พี่น้องเอย กล่าวโดยถึงที่สุดแล้ว ความจริงสูงสุด และความดีสูงสุดของพี่น้องพันธมิตรฯ แต่ละคนเป็นสิ่งที่พี่น้องจะต้องค้นหาหนทางนั้นด้วยตัวของพี่น้องเอง แม้ว่าพวกเราจะเป็นครอบครัวใหญ่เดียวกันก็ตาม และแม้ว่าพวกเราจะเกื้อกูลซึ่งกันและกันโดยการบอก “ข่าวดี” หรือถ่ายทอดแบ่งปันธรรมที่ผู้นั้นค้นพบ และเข้าใจให้แก่ผู้คนในครอบครัวใหญ่นี้ก็ตาม แต่ในที่สุดแล้ว พี่น้องแต่ละคนจะต้องค้นหาความจริงสูงสุด และความดีสูงสุดที่พี่น้องสามารถอยู่หรือตายเพื่อมันได้ด้วยตัวของพี่น้องเอง
พี่น้องเอย โลกนี้ จักรวาลนี้ตั้งอยู่และวิวัฒนาไปด้วยการปะทะขับเคลื่อนระหว่างพลัง 2 ขั้ว ซึ่งได้แก่ พลังบวกกับพลังลบ พลังสว่างกับพลังมืด พลังหยางกับพลังหยิน พลังแห่งความดีกับพลังแห่งความชั่ว พลังเทพกับพลังมาร ฯลฯ สองสิ่งนี้คือความเป็นคู่ที่เป็นเงื่อนไขแห่งการดำรงอยู่ของกันและกัน “ความเป็นคู่” หรือ “ทวิภาวะ” แห่งพลังทั้งปวงในจักรวาลดังข้างต้นเช่นนี้แหละ ที่ค้ำจุนจักรวาลเอาไว้ และเป็น มหามายา ที่เป็นที่มาของปรากฏการณ์ต่างๆ ทั้งปวงในจักรวาล
พี่น้องเอย นับตั้งแต่เกิดสังคมมนุษย์ สงครามระหว่างพลัง 2 ขั้วก็ได้ดำรงอยู่ตั้งแต่เริ่มแรกแล้ว สงครามระหว่างพลัง 2 ขั้วนี้ เป็นทั้งการรบพุ่งกันด้วยกำลังอาวุธ และเป็นการห้ำหั่นกันทางความคิดและสติปัญญา โดยแต่ละสังคมคือสนามรบของสงครามระหว่างพลัง 2 ขั้วนี้ การต่อสู้ของ พลังฝ่ายความดี นั้น มักออกมาในรูปของการปรากฏตัวของ “เลิศมนุษย์” ซึ่งเป็น “คนดีชั้นเยี่ยม” ที่มีระดับจิตสำนึกที่สูงส่งกว่าคนธรรมดา เลิศมนุษย์ เหล่านี้จะทำการรบในสนามรบของพวกเขาในวงการต่างๆ ทั้งวงการการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วิทยาศาสตร์ ศาสนา การศึกษา ศิลปวัฒนธรรม ฯลฯ
ขณะที่ปฏิกิริยาจาก พลังฝ่ายความชั่ว คือการทำลายหรือบั่นทอน เลิศมนุษย์ เหล่านั้น โดยไม่คำนึงถึงวิธีการโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการทางการเมือง
นี่เป็น การต่อสู้เพื่อการพัฒนา และยกระดับจิตวิญญาณของผู้คนโดยแท้ เพราะในขณะที่ฝ่ายหนึ่งมุ่งพัฒนาระดับจิต และยกระดับคุณภาพจิตใจของผู้คนในสังคม อีกฝ่ายหนึ่งกลับมุ่งบ่อนทำลาย มุ่งลดระดับศีลธรรมในจิตใจของผู้คน ยิ่ง พลังฝ่ายความดี ได้ปรากฏ ดวงจิตชั้นดีในระดับ เลิศมนุษย์ ออกมามากเพียงใด พลังฝ่ายความชั่ว ก็ยิ่งพยายามทำลายดวงจิตเหล่านั้นทุกวิถีทาง และหนักหน่วงยิ่งขึ้นเช่นนั้น...มันเป็นเช่นนี้เสมอมา และจักเป็นเช่นนั้นตลอดไป
การต่อสู้ 193 วัน ของพี่น้องพันธมิตรฯ ในปี 2551 จึงเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งแห่งมหากาพย์ของมหาสงครามอันเป็นนิรันดรระหว่างพลัง 2 ขั้วนี้ในจักรวาลเท่านั้น
การปรากฏตัวของ ดวงจิตชั้นเยี่ยม ในระดับ เลิศมนุษย์ ขึ้นในแต่ละวงการ แต่ละสาขาในสังคมจึงเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยากเย็น มิหนำซ้ำเมื่อเกิด “ผู้นำ” ที่เป็น เลิศมนุษย์ ขึ้นมาแล้ว การจะรักษาสภาวะจิตของผู้นั้น ไม่ให้ถูกแทรกแซงโดยอำนาจพลังฝ่ายมืด ยังเป็นสิ่งที่กระทำได้ยาก คนผู้นั้นต้องเป็นผู้ที่มีดวงจิตที่เข้มแข็ง และมีจิตใจที่สูงส่งเป็นอย่างยิ่ง
สงครามระหว่างความดีกับความชั่ว จึงไม่มีวันหมดไปจากโลกใบนี้ สงครามระหว่างพลังแห่งความสว่างกับพลังแห่งความมืด จักต้องดำเนินต่อไป เพราะนี่คือสงครามระหว่างเทพกับมาร และเป็นสงครามระหว่างธรรมะกับอธรรม!!!
ยิ่งสังคมนี้พัฒนาไปเป็นทุนนิยมสามานย์มากเท่าไหร่ นั่นก็หมายความว่า พลังฝ่ายอธรรม ก็ยิ่งขยายแนวรบออกไปกว้างทุกที ขุมพลังฝ่ายธรรมะ จึงต้องการ เลิศมนุษย์ หรือ คนที่มีคุณภาพสูงที่ประกอบไปด้วยสติปัญญา ดวงจิตที่เข้มแข้ง และจิตใจที่สูงส่งเข้าไปต่อกรด้วยมากยิ่งขึ้นเพียงนั้น!!
พี่น้องเอย ในยามค่ำคืน ขอให้พี่น้องหาโอกาสจ้องมองขึ้นไปบนฟ้ามืด ถ้าเป็นไปได้ควรหาโอกาสมองฟ้ามืดในแรมค่ำที่ต่างจังหวัด ซึ่งปราศจากแสงไฟฟ้า ไม่ว่าบนภูเขาหรือกลางทะเล เหนือฟากฟ้านั้นมีมวลดาราซ้อนกันเป็นระบบดาวหลายแสนล้านระบบดาวก่อรูปเป็นกาแล็กซี หรือดาราจักรหลายแสนล้าน ดาราจักรจึงประกอบขึ้นเป็นจักรวาลหนึ่ง คนเราจึงเป็นเพียงธุลีหนึ่งซึ่งกระจิริด ไร้แก่นสาร ไร้ตัวตน โดยที่สรรพชีวิตล้วนเป็นส่วนหนึ่งในส่วนประกอบที่ร่วมกันเป็นองค์รวมใหญ่ ท่ามกลางพลังงานหลากรูปแบบที่ไหลเวียนอยู่ในจักรวาล ท่ามกลางวัฎแห่งความเป็นคู่ หรือทวิภาวะซึ่งได้แก่ สว่างกับมืด ร้อนกับเย็น แข็งกับอ่อน เคลื่อนไหวกับสงบนิ่ง นอกกับใน บวกกับลบ สูงกับต่ำ ฯลฯ
พี่น้องจะเห็นได้ว่า โลกมนุษย์ใบนี้ก็เป็นเพียงเศษธุลีหนึ่งในมหาสมุทรแห่งจักรวาล ตัวมนุษย์เองจึงยิ่งเล็กจ้อยยิ่งกว่านั้นเข้าไปอีก พี่น้องต้องตระหนักถึงความจริงแห่งจักรวาลอันนี้ให้มากๆ พี่น้องจะได้อยู่ในโลกนี้อย่างถ่อมตน และมองโลกใบนี้ด้วยสายตาที่ถ่อมตัว ถ้าพี่น้องสามารถทำเช่นนี้ได้ พี่น้องก็จะเกิดปัญญาที่สามารถ “รู้ทุกข์” พี่น้องจะสามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่า ความทุกข์คือครูอันประเสริฐที่สอนให้พี่น้องได้คิดถึงความหมายของชีวิต พี่น้องจะมองเห็นว่า ความสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่บังเกิดขึ้นกับชีวิตของพี่น้องเป็น พรอันประเสริฐแห่งการเรียนรู้และการรู้แจ้ง ที่แฝงมาเท่านั้น
พี่น้องเอย เส้นทางไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลนั้นมีจริง พี่น้องไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากพี่น้องจะต้องค้นหามันด้วยตัวของพี่น้องเอง หากพี่น้องทำได้เช่นนั้น ความหมายแห่งชีวิตของพี่น้องจักกลายเป็นความหมายของจักรวาล ดังนั้นขอให้พี่น้องจงมองลึกเข้าไปในจิตใจของพี่น้องเอง พี่น้องจะพบกับจักรวาล และเมื่อพี่น้องมองลึกเข้าไปในจักรวาล พี่น้องจะค้นพบ ธรรมชาติที่แท้หรือจิตดั้งเดิม ของพี่น้องเอง
พี่น้องเอย พี่น้องรู้มั้ยว่า ความสุขในชีวิตที่แท้จริง มิใช่เงินทอง อำนาจ ชื่อเสียง ลาภยศ สรรเสริญ แต่ ความสุขในชีวิตที่แท้จริงคือ ความปีติที่ผู้นั้นได้ค้นพบว่า ตัวเราไม่ใช่ของเรา ตัวเราที่แท้เป็นอนัตตา ยามใดก็ตาม ที่พี่น้อง “ตื่น” และ “รู้” ได้เช่นนี้ด้วยตัวเอง ยามนั้นจะเป็นเวลาที่พี่น้องรักก้อนหินทุกก้อน รักต้นไม้ทุกต้น รักสัตว์ร่วมโลก รักแผ่นดิน รักสายลม รักสายน้ำ รักทะเล รักภูเขา รักแสงแดด รักฤดูกาล และรักจักรวาลนี้อย่างท่วมท้น