จิตสำนึกแห่งทางเลือกในยุคทักษิณครองเมือง (24)
24. พลังแห่งอัตลักษณ์กับการเอาชนะระบอบทักษิณ
สังคมไทยภายใต้ ระบอบทักษิณาธิปไตย ที่มีลักษณะครอบงำสูงและลดทอนความเป็นมนุษย์มากขึ้นนี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร ถ้าหากจะมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ต้องการแสดงความเป็นมนุษย์ของตน ด้วยการลุกขึ้นมาแสดง ตัวตน หรือ อัตลักษณ์ โดยการบอกคนอื่นโดยเฉพาะชนชั้นปกครองให้รับรู้ว่า พวกเขาเป็นใครด้วยการประท้วงและต่อต้านคัดค้านในเรื่องต่างๆ (resistance identity)
อัตลักษณ์ (identity) คือการสร้างความหมายเชิงวัฒนธรรมให้แก่ตัวตนของปัจเจกหรือกลุ่มชน เพื่อตระหนักในคุณค่าของชีวิตตนตามความหมายที่ตนเองได้นิยามไว้ให้แก่ตัวเอง โดยทั่วไปแล้วอัตลักษณ์มี 3 ประเภทคือ
(ก) อัตลักษณ์ที่ชนชั้นปกครองหรือชนชั้นนำยัดเยียดและปลูกฝังให้แก่ประชาชน (ligitimizing identity) เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่ระบบที่พวกเขาครอบงำอยู่ อัตลักษณ์ประเภทนี้ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับความเป็นชาติหรือความเป็นไทย
(ข) อัตลักษณ์ที่ยืนยันความเป็นตัวตนของตน ด้วยการออกมาประท้วงและต่อต้าน (resistance identity) ซึ่งไม่จำเป็นว่าจะต้องจำกัดเฉพาะแค่ คนชายขอบ เสมอไป โดยปกติแล้ว อัตลักษณ์ประเภทที่สองนี้ ทรงกว่าอัตลักษณ์ประเภทแรกเสียอีก เพราะมีลักษณะ "ขบถ" ดำรงอยู่ ในขณะที่อัตลักษณ์ประเภทแรกจะมีลักษณะที่ "เชื่องกว่า"
(ค) อัตลักษณ์ที่พุ่งเป้าไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ตัวตนของตนต้องการจะเป็นหรือต้องการจะสังกัด (project indentity) อัตลักษณ์ประเภทที่สามนี้จึงทรงพลัง และมีพลวัตกว่าประเภทที่สอง เพราะอัตลักษณ์ประเภทนี้สามารถยอมรับความเปลี่ยนแปลงได้ และเต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง โดยพุ่งเป้าไปในทิศทางที่ตัวตนของตนตั้งเป้าว่าจะเป็นได้
การจะต่อสู้ และเอาชนะ ระบอบทักษิณ จากมุมมองของ พลังแห่งอัตลักษณ์ นั้น จึงเป็นที่เห็นได้ชัดเจนว่า เหล่าประชาชนที่เข้าร่วมใน "ขบวนการสนธิ" ซึ่งมีลักษณะ ต่อต้าน ระบอบทักษิณ โดยตรงนี้จะหยุดยั้งอยู่แค่การธำรงรักษา อัตลักษณ์ประเภทแรก (ligitimizing identity) ไม่ได้เป็นอันขาด เพราะอัตลักษณ์ประเภทนี้ต่างก็เป็น "พื้นที่" ที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็แอบอ้าง และใช้เป็นวาทกรรมในการโจมตีอีกฝ่ายเหมือนกันทั้งสิ้น
แม้แต่การยืนยันตัวตนของตนด้วย อัตลักษณ์ประเภทที่สอง (resistance identity) ที่เป็นการประท้วงและคัดค้านด้วยข้อเรียกร้องเฉพาะส่วนเฉพาะกลุ่มอย่าง ม็อบ กลุ่มต่างๆ ก็ยังไม่มีพลังมากพอที่จะเอาชนะ และก้าวข้ามระบอบทักษิณาธิปไตยได้
คงมีแต่อัตลักษณ์ที่พุ่งเป้า (project identity) อย่าง อัตลักษณ์ประเภทที่สาม เท่านั้นกระมัง ถึงจะมีพลังที่มากพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบอบทักษิณได้ ซึ่ง "ขบวนการสนธิ" เองก็ยังไม่ได้มีการพัฒนาถึงระดับนี้ และก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีพัฒนาการมาจนถึงระดับนี้ด้วย เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ จิตสำนึกแห่งทางเลือก และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเชิงลึก ในหมู่ประชาชนที่เข้าร่วมขบวนการนี้โดยตรง
อย่างไรก็ดี "ขบวนการสนธิ" หรือ "รายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร" ที่ปักหลักจัดที่สวนลุมพินีอย่างต่อเนื่อง ก็ได้กลายเป็น พื้นที่ทางสังคม และวัฒนธรรม ซึ่งเป็น พื้นที่ของการคิดค้นและการสร้างความหมายใหม่ๆ ของผู้คนต่างๆ ที่มารวมตัวชุมนุมกัน เพื่อสามารถเผชิญหน้ากับวิกฤตต่างๆ ที่เกิดจากระบอบทักษิณ ไปเสียแล้ว
พลังแห่งอัตลักษณ์ ไม่ช้าก็เร็วย่อมเกิดขึ้น และเติบโตอย่างเข้มแข็งจาก พื้นที่ทางสังคมและวัฒนธรรม เช่นนี้ซึ่งมีอยู่ไม่มากในสังคมนี้อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะไม่ว่าจะพิจารณาจากแง่มุมใดก็ตาม การผุดบังเกิดของ "ขบวนการสนธิ" ในฐานะที่เป็นการเปิดพื้นที่ของการสร้างความหมายใหม่ ย่อมเป็นนิมิตหมายอันดีต่อวิวัฒนาการของสังคมไทยในมิติต่างๆ อย่างแน่นอน
เพราะการที่ชนชั้นกลางไทยจำนวนมากเริ่มอึดอัดกับ ระบอบทักษิณที่โฆษณาชวนเชื่อ และมอมเมาพวกเขามาโดยตลอด จึงทำให้พวกเขาอยากมี พื้นที่ใหม่ และ สร้างความหมายแห่งชีวิตของพวกตนใหม่ หลังจากที่ถูกระบอบทักษิณ "หักหลัง" ด้วยวาทกรรม "รวยแล้วไม่โกง" มาหมาดๆ พวกเขาจำนวนไม่น้อยที่กระโจนเข้าสู่ "ขบวนการสนธิ" ที่สวนลุมฯ จึงได้เข้ามาอยู่ใน "พื้นที่ใหม่" ซึ่งมิใช่แค่พื้นที่ทางกายภาพอย่างสวนลุมฯ เท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่ทางจิตใจที่สะท้อนออกมาให้เห็นได้ในโลกแห่งไซเบอร์
ณ ที่นั้นเอง ที่ พวกเขาจะได้รู้จักตนเอง รู้จักความเป็นมนุษย์แบบใหม่ และค้นพบอัตลักษณ์ใหม่ของตนเองอีกครั้ง ท่ามกลางสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป และท่ามกลางระบอบทักษิณที่กำลังจะล่มสลาย
ณ ที่นั้นเอง ที่พวกเขาควรจะได้ตระหนักและ ค้นพบวิธีที่เรียบง่ายในการใช้ชีวิตให้มีความหมายและมีความสุข อย่างไม่หวั่นไหวไปกับกระแสแห่งบริโภคนิยมที่รายล้อมอยู่รอบตัว
ณ ที่นั้นเอง ที่พวกเขาควรจะใช้ เป็นโอกาสตรวจสอบและทดสอบคุณค่าภายในแห่งความเป็นมนุษย์ของตน ที่มิควรให้ระบอบทักษิณเข้ามาละเมิด ล่วงเกิน และล่วงล้ำ
จิตใจของคนเรานั้น เจริญขึ้นได้ด้วย ความรัก และ ความรู้ คนเราล้วนเกิดมาเป็นเพื่อนร่วมรับทุกข์สุขด้วยกันในโลกนี้ เพื่อร่วมรับรู้ความงดงาม และความน่าอัศจรรย์ของชีวิต เพราะฉะนั้นคนเราจึงควรรู้รัก รู้สามัคคี เกื้อกูล ช่วยเหลือกันและกันอย่างจริงใจ และไม่ควรเอาเปรียบ เบียดเบียนข่มเหงเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะความโลภ ความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ประโยชน์ของพวกพ้องเป็นสำคัญ
วัฒนธรรมของมนุษย์นั้น มีไว้เพื่อบ่มเพาะน้ำใจไมตรี เมตตา กรุณา ปรานี และคุณธรรมแห่งการค้ำจุนให้เกื้อกูลกันเพื่ออยู่ร่วมกันในโลกนี้อย่างอยู่เย็นเป็นสุข
ชีวิตคือการเปลี่ยนแปลง ชีวิตมีการเจริญเติบโตไม่หยุดหย่อน คนเราทุกคนล้วนมีหน้าที่ทำให้ชีวิตตนเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ด้วยการฝึกจิตให้ละเอียดอ่อนด้วยศิลปะและดนตรี ฝึกจิตให้เข้มแข็งแกล้วกล้า ไม่ย่อท้อต่อสู้กับความยากลำบาก และอุปสรรคทั้งปวง หมั่นแสวงหาความรู้ความเข้าใจในทุกสิ่ง เพื่อพัฒนาสติปัญญาให้งอกงามสมกับความเป็นมนุษย์ ไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่าให้ผ่านไปโดยไม่ปรับปรุงตนเอง
จงอย่าเชื่อถือและไว้ใจ "ผู้นำ" ที่ดีแต่พูด เพราะคนอย่างนี้ชอบใช้วาจาล่อหลอกโดยไม่คิดทำจริงตามที่พูด ถึงเขาจะใช้คำพูดที่ชวนให้ฝันหวานด้วยการวาดวิมานบนอากาศ แต่จริงๆ แล้วเขาเป็นคนที่มีน้ำใจคับแคบ ยามได้ลาภมักหลบหนีหน้าเพราะกลัวจะต้องแบ่งปัน ยามเงินหมดหรือถังแตกแล้ว จะออกตัวว่า อยากเอื้อเฟื้อแต่เสียใจว่าไม่มีแล้ว
"ผู้นำ" อย่างนี้ ผู้คนเขารู้ทันกันหมดแล้ว และไม่มีใครอยากคบด้วยแล้ว เพราะไม่เคยจริงใจกับใคร ปากปราศรัยยกตัว แต่น้ำใจคับแคบ ไม่รักใครจริง ไม่ช่วยใครจริง การที่เขาทำตัวเช่นนี้ เขาคงนึกว่าตัวเองฉลาด เข้าใจว่าหลอกคนอื่นได้ง่ายๆ แต่แท้ที่จริงแล้ว เขาหลอกใครไม่ได้ตลอดไปหรอก เขาลวงได้แต่ตัวเขาเองเท่านั้น
ถ้าพวกเราอยากจะเอาชนะระบอบทักษิณ ก็จงอย่าลุ่มหลงในเรื่องสุข-สนุก-สบาย ที่พวกเขาใช้มอมเมาพวกเรา เพราะสิ่งเหล่านี้มีแต่จะทำให้ร่างกายและจิตใจของเราอ่อนแอลง อีกทั้งยังขัดขวางความเจริญงอกงามทางสติปัญญาของพวกเราด้วย
พวกเราต้องทำตนเป็นผู้ที่มีความพากเพียร อดทนต่อความยากลำบากทุกชนิด พึงตระหนักอยู่เสมอว่า ความสำเร็จของพวกเราไม่ได้เกิดขึ้นโดยง่าย
พวกเราต้องไม่เพ้อฝันว่าจะมีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ใดที่จะมาดลบันดาลให้เราประสบความสำเร็จสมความปรารถนา โดยที่พวกเราไม่ต้องทุ่มเทกายใจอดทนทำงานเพื่อก้าวไปข้างหน้าด้วยตนเอง
เพราะ ความสูงส่ง มิใช่ได้ง่ายด้วยการร้องขอ แต่ด้วยหยาดเหงื่อ และแรงงานอย่างไม่หยุดหย่อน ด้วยจิตใจกล้าแข็งไม่ยอมแพ้อุปสรรค จึงจะสามารถเข้าถึง ความประเสริฐของชีวิตอันมีคุณค่าเลอเลิศ กว่าอำนาจลาภ ยศ สรรเสริญ ภายนอกทั้งปวงอันไม่จีรังยั่งยืนได้
จงอย่าลืมว่า ความสุขที่ต้องอาศัยวัตถุนั้น นำมนุษย์ให้เป็นทาสของความต่ำทราม เหมือนอย่างที่ ระบอบทักษิณ กำลังกระทำอยู่ ความสำเร็จแท้จริงในชีวิตมิใช่ความมั่งคั่งเหมือนอย่างที่พวกเขามอมเมาเราอยู่ แต่เป็นการที่สามารถฝึกฝนอบรมจิตใจของเราให้สว่าง สะอาด และสงบขึ้นแล้วต่างหาก