จิตสำนึกแห่งทางเลือกในยุคทักษิณครองเมือง (3)
3. มายาคติของเรื่องเล่า "เรามาถูกทางแล้ว"
"แต่คงอีกไกลในอนาคตโน่น กว่าที่พวกเขาจะตื่นจาก ความเพ้อฝัน
ตอนนี้พวกเขาจึงยังไปเรื่อยๆ อย่างสนุกสนาน"
(จาก อิชมาเอล ของ แดเนียล ควินน์ สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, 2547)
ความจริงที่เจ็บปวดประการหนึ่งที่ยากจะปฏิเสธได้ แม้ใจไม่อยากจะยอมรับก็คือ ในขณะนี้พวกเราทุกคนล้วนเป็น "เชลย" ของทักษิณ! ไม่ว่าคนที่สนับสนุนเขาที่ศรัทธาเขา หรือคนที่จงเกลียดจงชังการกระทำของเขา หรือคนที่ได้ดิบได้ดีจากการขึ้นมามีอำนาจของเขา หรือแม้แต่คนที่ไม่แคร์ว่าใครจะเป็นผู้นำก็ได้ ผู้คนทั้งหมดทุกประเภทนี้ล้วนเป็นเชลยของเขาทั้งสิ้น
ทุกคนกลายมาเป็น เชลยของเขา มิใช่เพราะความหวาดกลัว และมิใช่เพราะบารมีส่วนตัวของเขา จริงอยู่ที่บุคคลผู้นี้มีบารมี โดยเฉพาะมีความสามารถทางวาทศิลป์ในการโน้มน้าวจิตใจประชาชนแบบ 'เดมาก็อก' แต่ลำพังแค่คุณสมบัติประการนี้ ไม่น่าจะทำให้คนทั้งประเทศตกอยู่ในสภาวะจำยอมกลายเป็น 'เชลย' ของเขาได้ถึงขนาดนี้
ในช่วงห้าปีที่ผ่านมานี้ คนไทยเกือบทั่วทั้งประเทศ ตกหลุมพรางหลวมตัวหลงเชื่อสิ่งที่เป็น 'นิทาน' หรือ 'เรื่องเล่า' ที่เขาเฝ้าเป่าหูกรอกหูประชาชนมาโดยตลอดว่า "เรามาถูกทางแล้ว"
นิทานหรือเรื่องเล่า อันเป็น มายาคติ ที่เขาและสมุนของพวกเขาเฝ้าพร่ำบอกพวกเราว่า ขอให้เชื่อมั่นในการนำของเขา เพราะเขาจะนำพาพวกเราให้หลุดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ไปสู่ความมั่งคั่งเทียบเท่าอารยประเทศได้อย่างแน่นอน ด้วยแนวทางแบบทักษิโณมิกส์ของเขา
ในช่วง 3 ปีแรกที่ดัชนีตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ "ดูดีขึ้น" อย่างน่าอัศจรรย์ จนผู้คนส่วนใหญ่ของประเทศนี้ 'เทใจ' ให้กับผู้นำของเขา ด้วยความเชื่อมั่นจากใจจริงว่า เรื่องเล่า ที่ 'ผู้นำ' ของเขา 'กล่อม' ให้ประชาชนของเขาฟังอยู่ทุกเช้าค่ำนั้น จะเป็นจริงอย่างแน่นอนและคนจนจะหมดจากประเทศนี้ภายใน 6 ปีอย่างแน่นอน
ในห้วงนั้น ยังมีคนส่วนน้อยที่ไม่หลงลมไปกับเรื่องเล่าชวนฝันหวานของเขา ในหมู่คนกลุ่มน้อยเหล่านี้ บางคนถึงกลับกล้าประกาศว่า "รู้ทัน" เขา แต่จริงๆ แล้ว แม้แต่หมู่คนกลุ่มน้อยกลุ่มนี้ ก็เป็นเชลยของเขาอยู่ดี เพราะสังคมทั้งหมด สื่อต่างๆ หน่วยงานองค์การต่างๆ ล้วนถูกบีบแล้วหันมาบีบให้คนกลุ่มน้อยกลุ่มนี้ก็พลอยตกเป็นเชลยไปด้วย คนกลุ่มน้อยกลุ่มนี้จึงไม่อาจหลีกเลี่ยงชะตากรรมที่ถูกกวาดต้อนไปพร้อมๆ กับคนกลุ่มใหญ่ของประเทศที่หลงเชื่อผู้นำของเขาอย่างว่าง่าย
ตราบใดที่พวกเรายังอาศัยอยู่ในประเทศนี้ ในขณะนี้ ตราบนั้น พวกเราก็ยังคงตกเป็น เชลยของเขา อยู่ดี ไม่ว่าพวกเราบางคนจะพร่ำด่า ก่นด่าเขาทางอินเทอร์เน็ตหรือทางเวทีต่างๆ หรือในการชุมนุมพบปะส่วนตัวต่างๆ มากแค่ไหนก็ตาม
พวกเรากลายเป็นเชลยของเขา ก็เพราะพวกเราถูกม้วนตัวเข้าไปอยู่ใน 'นิทาน' หรือ 'เรื่องเล่า' ของเขา ที่แม้แต่ตัวเขาก็ยังหลอกตัวเอง เพราะหลงตัวเองอย่างสุดๆ ด้วยความเชื่อมั่นอย่างสุจริตใจว่า "เรามาถูกทางแล้ว"
ที่น่าวิตกยิ่งกว่านั้น ก็คือ เรื่องเล่าที่เป็น 'มายาคติ' ของเขา อันนี้มันได้ถูกผลักดันอย่างเอาการเอางาน โดยอำนาจรัฐและอำนาจทุนของพวกเขาจนกระทั่งมันกลายเป็น กระบวนการทางเศรษฐกิจ-การเมือง ในความเป็นจริง ที่ไม่อาจย้อนศรทวนกระแสได้ง่ายๆ อีกต่อไปแล้ว ถ้าเรื่องเล่าอันนี้เป็นเรื่องเหลวไหล เราจะพังกันทั้งประเทศพร้อมๆ กับตัวเขา ซึ่งในขณะนี้ก็เริ่มมีสัญญาณหลายตัวเตือนออกมาแล้วว่า 'นาวาสยาม' ลำนี้กำลังจะจมลง เพราะแล่นไป "ตามทาง" ที่เขาบอก
เรื่องเล่าหรือนิทานที่เขานำมา 'ขาย' ให้ประชาชนด้วย ลัทธิการตลาด อันลึกล้ำจนกระทั่งตัวเขาก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ ผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จนั้น มี ตัวเขาเป็นพระเอก ดุจอัศวินม้าขาว ผู้มากู้ชาติ โดยที่ตัวเขาคือ ความหวังของประเทศ การแสดงของเขา ตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมานี้คือ การใช้ชีวิตเพื่อให้เรื่องเล่าหรือนิทานนี้เป็นความจริง โดยที่ ประชาชนส่วนใหญ่ก็สวมบทบาทไปตามเรื่องเล่าหรือนิทานของเขา กล่าวคือ พวกเขามุมานะทำงานหนักในตอนกลางวัน มอมเมาตัวเองด้วยสุราหรือละครโทรทัศน์ในตอนกลางคืน และพยายามที่จะไม่วิตกวิจารณ์อะไรมากนัก เกี่ยวกับปัญหาที่สะสมอย่างหมักหมมของสังคมนี้และโลกใบนี้
ตัวเขาผู้เล่นบทพระเอกในเรื่องเล่าหรือนิทานเรื่องนี้ของเขาคงยังไม่ได้ตระหนักหรือสำนึกกระมังว่า พระเอกในนิทานเรื่องนี้ (ซึ่งก็คือตัวเขา) จะมีชีวิตอยู่อย่างรุ่งโรจน์เพียงระยะสั้นๆ เท่านั้น (และช่วงเวลานั้นก็ใกล้จะหมดลงทุกทีแล้ว) เพราะ ตัวเขาเองเป็นคน "ปฏิเสธ" ที่จะเล่น "นิทานเรื่องอื่น" ว่าด้วย "เศรษฐกิจพอเพียงคือทางรอด" เพราะในเรื่องนี้ บทบาทของเขาจะเรียบๆ เรื่อยๆ ไร้สีสัน แม้มันจะทำให้เขามีชีวิตอย่างยั่งยืนยาวนานกว่าก็ตาม
สรุปก็คือ เขาเป็นคนเลือกเอง ด้วยอัตตาของเขาเองว่าจะอยู่อย่างรุ่งโรจน์แม้ว่าจะแสนสั้นก็ตาม (แต่ตัวเขาไม่ได้คิดเช่นนั้น เพียงแต่ดูเหมือนมันจะคลี่คลายไปอย่างนั้น)
ฐานคิดของเขาที่เป็นอวิชชาของเขาคือ โลกทัศน์ที่มุ่งจะพิชิตโลก พิชิตทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าเขาจนกว่าเขาจะสามารถปกครองได้อย่างเบ็ดเสร็จและสมบูรณ์แบบ ด้วยความเชื่อและการโฆษณาชวนเชื่อของเขาว่า เขาสามารถเปลี่ยนสังคมนี้ให้กลายเป็นสวรรค์บนดิน...สวรรค์ที่อยู่ภายใต้การปกครองของเขาที่ทำตัวประหนึ่ง 'เทวดาเดินดิน'
แต่อนิจจา ขณะนี้หลายคนเริ่ม "ตื่น" และ "ตาสว่าง" จากเรื่องเล่าชวนฝันของเขาเสียแล้ว เพราะหลายคนเริ่มมองเห็น ข้อบกพร่อง ของ "สวรรค์ของเขา" เสียแล้วว่าเป็นแค่ 'มายา' ดุจปราสาททรายที่ล้มครืนเอาได้ง่ายๆ อีกไม่นาน แม้แต่ตัวเขาเองก็คงได้เห็นด้วยตา พร้อมกับผู้คนส่วนใหญ่เองแหละว่า "สวรรค์" ของเขากำลังล่มลง เพราะความหลง ความโง่เขลา ความโลภ ความชอบความรุนแรง ความมีสายตาสั้น และการเล่นพวก อันเป็นกิเลสธรรมดาของปุถุชนคนหนึ่งที่ไม่ได้วิเศษเหมือนอย่างภาพลักษณ์ที่พยายามสร้างขึ้นมา
ความผิดพลาดและหลงผิดของเขาไม่ใช่เพราะเขาไม่มีความรู้ ตรงกันข้าม เขาเป็นคนรู้มากทีเดียว และทำตัวเหมือนกับรู้ทุกเรื่อง เพียงแต่เขาไม่มีความรู้ที่เชื่อถือได้ ในเรื่องที่ว่า คนเราควรดำเนินชีวิตอย่างถูกต้องดีงามได้อย่างไร เพราะความรู้แบบนี้ไม่ใช่ใช้เงินซื้อหามาได้ หรืออ่านจากหนังสือโดยไม่ฝึกฝนปฏิบัติได้ เนื่องจากความรู้แบบนี้มันเป็น ความรู้ที่จะต้องเป็นให้ได้ ทำให้ได้จริงเหมือนอย่างที่ตัวเองพูด ตัวเองรับปากให้สัจจะเอาไว้ เขาจึงไม่มีมัน แม้ตัวเขาจะพยายามพูดหรือแสดงออกว่าเขามีมันก็ตาม แต่เพราะการกระทำหลายอย่างของตัวเขาในระยะหลังๆ มานี้ ที่พิสูจน์ให้เห็นอย่างถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาอย่างโจ่งแจ้งแล้วว่า เขาไม่มีวัน และไม่มีความน่าเชื่อถือในสิ่งที่เป็นสัจวาจาของตัวเขา
เพราะมีแต่ผู้ที่ มีจิตสำนึก เท่านั้นที่จะรู้ว่าควรจะใช้ชีวิตที่ดีงามได้อย่างไร คนแบบนี้เท่านั้นถึงจะสามารถจัดการแก้ไขความผิดพลาดในสิ่งที่ตนได้กระทำลงไปได้
แล้วสำหรับพวกเราทั้งหลายที่ต้องการ 'ปลดแอก' ของความเป็นเชลยจากเขาเล่า มีทางเลือกใดให้เลือกได้บ้าง นอกจากการทิ้งประเทศนี้ไปอยู่ที่อื่น ซึ่งไม่ใช่การแก้ปัญหา แต่เป็นการหนีปัญหาเท่านั้น?
ก่อนอื่น เราต้องตระหนักให้ได้ก่อนว่า ถ้าตัวเราไม่มี เรื่องเล่า หรือ นิทาน เรื่องอื่นให้สวมบทบาทเล่นนอกเหนือไปจากนิทานของเขาอันน่าสังเวชเรื่องนี้ เราจะมีชีวิตอยู่อย่างหงุดหงิด ครุ่นเครียด ฟุ้งซ่านหันไปพึ่งพาสิ่งเสพติดรูปแบบต่างๆ ไม่ว่า สุรา บุหรี่ เซ็กซ์ เชียร์กีฬา หรือการบันเทิง ถ้าไม่เป็นโรคประสาทหรือโรคร้ายถามหาไปเสียก่อน
เพราะฉะนั้น เราจึงต้องมีจิตสำนึกที่มั่นคงเข้มแข็งพอที่จะมีจินตนาการในการใช้ชีวิตด้วย "เรื่องเล่าของตัวเราเอง" ที่ตัวเราเองเป็นคนรังสรรค์มันขึ้นมา โดยปราศจากอิทธิพลของลัทธิการตลาด และลัทธิบริโภคนิยมซึ่งเป็นเครื่องมืออันทรงพลังของเขาที่ใช้ในการโน้มน้าวจิตใจของผู้คนให้จำยอมตกเป็น 'เชลย' ของเขาแต่โดยดี
จงอย่าให้ตัวเขา เรื่องเล่าของเขารวมทั้ง "สวรรค์" ของเขามามีอิทธิพลเหนือ วิถีของเรา ที่จะเดินตาม "เรื่องเล่าของเรา" ที่ผุดวาดออกมาจากแรงบันดาลใจในส่วนลึกแห่งจิตใจที่รักอิสรเสรีของตัวเราเอง
เมื่อใดก็ตาม ที่ตัวเรามี ความกล้า ที่จะเดินเลยข้ามเขตแดนทางโลกทัศน์และวัฒนธรรมที่เขากำลังแผ่อิทธิพลอย่างเบ็ดเสร็จนี้ไปได้ เราจะพบว่า ตัวเราเองกำลังอยู่ในสังคมใหม่ ในโลกใหม่ของเราเอง ที่ถึงแม้จะไม่ใช่สังคมใหม่ หรือโลกใหม่ทาง กายภาพ แต่มันคือ สังคมใหม่ โลกใหม่ทางความคิด ทางจิตใจที่มีความหมายมากกว่าการเป็นแค่ 'เชลย' ใน "สังคมของทักษิณ" และ "โลกของทักษิณ" มากมายนัก