บทสนทนาระหว่าง โจ-มณฑานี ตันติสุข กับ สุวินัย ภรณวลัย
อันเนื่องมาจาก "สารรักจากสวรรค์" ของ ดร.ไบรอัน ไวส์
๑. กายกับจิตต้องรวมกันเป็นหนึ่ง
"เมื่อเจ้ามองดูคนๆ หนึ่ง ไม่ว่าจะมองในการมีสัมพันธ์กันในการบำบัดหรือในชีวิตก็ตาม
จงมองให้เห็นดวงวิญญาณของพวกเขาที่ผ่านชาติภพมาแล้วซึ่งกัปกัลป์"
สารรักจากสวรรค์
มณฑานี - มีคนเขามาปรึกษาโจ เขาอยากทำอะไรเกี่ยวกับวัยรุ่น ให้วัยรุ่นรู้จักฉลาดคิด เขาเน้นสุขภาพกาย ขณะเดียวกันก็สนใจเกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณด้วย เรื่องสุขภาพนี้โจเจอมากับตัวเองคือโจมีปัญหาเกี่ยวไมเกรนเป็นประจำ แล้วโจหายได้ด้วยสมาธิ โดยที่ก่อนหน้านี้ทานยาเท่าไหร่ก็ไม่หาย โจจึงเชื่อว่าสุขภาพกายเกิดจากสุขภาพจิตโดยตรง เราจึงรักษาโรคจากต้นตอคือรักษาสุขภาพจิต ไม่ให้กายมันเกิดโรค โจจึงแนะนำเขาไปว่าถ้าอย่างนั้นต้องทำเวิร์กช็อป อย่างเดียว ต้องพาวัยรุ่นไปทำอะไรร่วมกันในที่ที่หนึ่งไม่ใช่การรณรงค์แบบทำสติกเกอร์ ป้ายโฆษณา ซึ่งโจเห็นว่ามันไม่ได้ผล และไม่คุ้มค่ากับเงินจำนวนหลายสิบล้านบาทที่ลงทุนไปในการโฆษณา
สุวินัย - ใช่ มันต้องทำให้เป็นแบบ...ให้พวกวัยรุ่นเขามีประสบการณ์โดยตรงด้วยตัวเขาเอง ผมว่าถ้าจัดโครงการแบบเข้าค่ายมีการฝึกโยคะสมาธิและสาธิตวิธีการบำบัด ก็น่าจะเข้าทีนะ
มณฑานี - โจว่าการทำสมาธิเป็นอะไรที่ได้มากกว่าการมาแก้ไขโรค ไม่ว่าจะเป็นโรคทางกายหรือทางจิต เพราะโจเองก็ได้จากสมาธิ
สุวินัย - มันต้องบูรณาการกิจกรรมที่หลากหลายเข้าด้วยกันเช่น วาดรูปสมาธิ
มณฑานี- ใช่อย่างการบำบัดด้วยศิลปะ (Art Therapy) เมืองไทยก็มีผู้รู้ทางด้านนี้นะ
สุวินัย-หรือแม้แต่การสอนทำอาหารสมาธิ หรือการปรุงอาหารที่จิตใจเปี่ยมด้วยความรัก ความเมตตาและความหวังดีต่อผู้อื่น
มณฑานี-โจว่าคนเราถ้าไม่รักตนเองมันจะป่วยนะ
สุวินัย-คนเราจึงควรหันมาอยู่หรือใกล้ชิดธรรมชาติให้มากขึ้นเช่นการทำสวน ปลูกต้นไม้ก็ได้ก็เป็นการฝึกให้กายกับจิตมารวมกันได้อย่างเดียว การรับการบำบัดด้วยการนวดตัว หรือนวดเท้าก็ดีนะ
มณฑานี-แล้วเราน่าจะนำเสนอเรื่องกายกับจิตรวมกันเป็นหนึ่ง อย่างไงดีคะ
๒. ความรักคือการอดกลั้น
"มาบัดนี้เรารู้แก่ใจแล้วว่าลำพังแค่เทคโนโลยีหรือวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียวไม่สามารถแก้ไขปัญหามนุษย์ทุกประการได้
เราใช้เทคโนโลยีในทางดีก็ได้ ทางเลวก็ได้ มีแต่ยามที่เราใช้เทคโนโลยีด้วยความรู้แจ้งด้วยความสมดุลเท่านั้น
เทคโนโลยีถึงจะช่วยเราได้จริง เราต้องหาสมดุลตัวนั้นให้เจอ รักคือสมดุลค้ำจุนตัวนั้น"
สารรักจากสวรรค์
มณฑานี-ตอนนี้ "ซีลีน ดิออน" นักร้องที่ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ไททานิคเพิ่งออกอัลบั้มล่าสุดเป็นอัลบั้มที่เกี่ยวกับการให้กำลังใจคนโดยเฉพาะ เพราะเธอมีความรู้สึกว่าสิ่งที่คนต้องการมากที่สุดในตอนนี้คือความรักและกำลังใจ
สุวินัย-ในแง่ของเยาวชนสังคมเราต้องมีพื้นที่ (Space) ให้พวกเขาได้เติบโต แต่พื้นที่เช่นนี้หาได้ยากเหลือเกินในสังคมนี้
มณฑานี-โจกลัวว่า สิ่งที่โจจะทำเพื่อเยาวชนจะถูกสื่อที่งี่เง่าบางสื่อตีความออกไป ในเชิงยัดเยียดศาสนาใหม่ให้แก่วัยรุ่น จริงๆ แล้วที่ผ่านมาโจจัดสัมมนาเล็กๆ มาตลอด โจคิดว่าเราต้องเข้าใจพวกเขา พอเข้าใจพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร พวกเขาก็ต้องคิดเองเพราะมันเป็นปัญหาของพวกเขานี่ ไม่ใช่ปัญหาเรา
สุวินัย-เพราะฉะนั้นพวกวิทยาการที่จะมาอบรมพวกเยาวชน ไม่จำเป็นต้องเป็นพระหรือผู้นำศาสนาหรอกเป็นใครก็ไที่สามารถสื่อกับพวกเขาได้ ในเชิงจิตวิญญาณอย่างคุณโจก็เป็นได้
มณฑานี-เมื่อก่อนโจเคยจัดอบรม เรื่องคู่แท้ (Soulmate) พอทำตอนแรกโจก็หวั่นไหวเหมือนกันเพราะเล่นขึ้นปกเนชั่นสุดสัปดาห์ (ยิ้ม) ตนนั้นโจปฏิเสธตนเองไม่กล้าทำเรื่องคู่แท้อีก แต่พอปีที่แล้ว (พ.ศ.๒๕๔๔) จนถึงปีนี้ท้ายที่สุดโจก็ต้องมานั่งทำการอบรมอีก โจทำมันด้วยความรัก แล้วเรื่องคู่แท้เป็นเรื่องที่ดีออกจะไปหนีมันทำไม มันเป็นตัวตนของเรา ตอนนั้นเราไม่ทำเพราะไม่อยากให้คนอื่นว่าเรา แต่เมื่อเรามองย้อนไปไอ้คนที่ว่าเราก็คือคนที่แปลงานของดอกเตอร์ไวส์เหมือนกันนี่แหละ
สุวินัย-มันแย่มากนะที่ แปลงานที่ตนเองไม่ได้รักในงานนั้น ผมเองก็รับไม่ได้
มณฑานี-เมื่อ ๒ ปีก่อน โจอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เกี่ยวกับความรักมีจิตแพทย์ และนักจิตวิทยาเขียนกันหลายคน
โจอ่านบทหนึ่งดีมากเกี่ยวกับความรัก เราจะทำอย่างไรให้รักแล้วไม่ทุกข์ โดย คุณวิทยา นาควัชระ เสร็จแล้วโจก็ไปอีกบทหนึ่งซึ่งเขียนแบบไร้สาระมาก ทั้งๆ ที่คนเขียนก็เป็นนักจิตวิทยาคนหนึ่ง นักจิตวิทยาชื่อดังมากเลย
สุวินัย-คุณหมอวิทยาท่านเคยผ่านทุกข์ที่ท่านเจอกับตัวเองมาแล้ว
มณฑานี-อันนี้โจเข้าใจเลยเพราะถ้าคุณหมอไม่ผ่านทุกข์มาขนาดนั้นคงเขียนเรื่องความรักได้ดีขนาดนั้นไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันคนที่เขียนโจมตีคุณหมอวิทยาก็คือคนๆ เดียวกับที่เขียนแบบไร้สาระมากคนนั้น
สุวินัย-โจมตีแบบเหยียบหัวขึ้นมาดังแทนทำนองนั้น
มณฑานี-โจมีความรู้สึกว่า คุณหมอวิทยาท่านเก่งมากที่ทนได้ขนาดนี้
สุวินัย-คนที่ทนได้ขนาดนี้มักผ่านการตายของอัตตาตัวตนทำให้เติบโตทางจิตวิญญาณได้อีกระดับหนึ่ง ผมเองก็เคยในกรณีเปรตกู้จึงพอจะเข้าใจตรงนี้ได้
มณฑานี-โจเคยบอกพรรคพวกไปนะว่า คนเราถ้าจะสอนคนอื่นได้ในเรื่องชีวิตเราต้องผ่านทุกข์มาจริงๆ ก่อน ไม่เช่นนั้นมันจะเป็นการสอนวิชาเฉยๆ
สุวินัย-แบบว่าไม่มีพลังในคำพูดเพราะไม่ได้พูดจากความรู้สึกลึกๆ เนื่องจากตนเองไม่ได้ผ่านทุกข์มาจริงๆ
๓. "สารรักจากสวรรค์"
"การรักษาเยียวยาคือการเข้าใจว่าชีวิตคืออะไร
และเราสามารถพลิกชีวิตให้กลับเหมือนใหม่ได้อย่างไร
โปรดเข้าใจด้วยเถอะว่า เราไม่เคยสูญเสียคนที่เรารักไปเลยในสายตาแห่งนิรันดร์"
สุวินัย-ผมได้อ่าน"สารรักจากสวรรค์" ที่คุณโจแปลออกมา และก็ได้อ่านภาษาอังกฤษที่ดอกเตอร์ไวส์เป็นคนเขียน (Messages from the Masters) ด้วย ผมชอบงานแปลชิ้นนี้ของคุณโจนะ มันให้ความรู้สึกแตกต่างไปจากฉบับจริงที่เป็นภาษาอังกฤษตรงที่หนังสือ "สารรักจากสวรรค์" ของคุณโจเล่มนี้ มันมีทั้งตัวตนของคุณโจและของดอกเตอร์ไวส์อยู่ในนั้นด้วย แบบว่าคุณโจคอยเป็นพี่เลี้ยงให้คนไทยที่ไม่ค่อยอ่านชำนาญภาษาอังกฤษและเรื่องจิตวิญญาณได้เข้าใจความหมายของคำบางคำลึกซึ้งยิ่งกว่า เพราะฉะนั้นงานแปล "สารรักจากสวรรค์" เล่มนี้ของคุณโจ มันเป็นตัวเชื่อมแบบนิวเอจได้ต่อไปพอเขาไปอ่าน ภาษาอังกฤษแบบนิวเอจเขาจะไม่ติดเพราะมีพื้นฐานที่มั่นคงจากหนังสือเล่มนี้ของคุณโจ
อีกอย่างหนึ่งผมว่าคุณโจอธิบายคำศัพท์นิวเอจแบบเข้าใจปัญหาโลกทัศน์ของคนไทยชัดเจนซึ่งไม่เห็นในงานแปลของคนอื่น อย่างเช่นมุมมองใหม่ของนิวเอจในเรื่องกฎแห่งกรรมที่ไม่ใช่การลงโทษ แต่เป็นบทเรียนเพื่อความก้าวหน้าทางจิตในชาตินี้และชาติต่อๆ ไป จริงๆ อยู่ความเข้าใจแบบนิวเอจเช่นนี้ไม่ใช่ของใหม่ ตัวผมรู้เรื่องนี้มาสิบกว่าปีแล้ว แต่จะหาคนเขียนที่มีพลังมาอธิบายมุมมองนิวเอจในเมืองไทยนี้ได้น้อยคนเหลือเกิน แต่คุณโจเป็นคนหนึ่งในนั้นนะ พออ่านเราก็รู้ทันทีเลยว่า คนๆ นี้แปลงานชิ้นนี้ด้วยใจด้วยความรัก
คนญี่ปุ่นที่เขาแปลงานของดอกเตอร์ไวส์เขาก็แปลแบบนี้ แต่ในเมืองไทยนี้ผมเพิ่งเห็นคนที่แปลหนังสือแนวนิวเอจออกมาด้วยความรัก พิถีพิถันก็อย่างงานแปลของคุณโจนี่แหละ ซึ่งน่าจะกลายเป็นมาตรฐานการแปลงานแบบนิวเอจในเมืองไทย ต่อไปนี้ถ้าใครจะแปลเรื่องจิตวิญญาณแล้วแปลไม่ได้มาตรฐานอย่างคุณโจทำไว้พวกเราต้องต่อต้านไม่อุดหนุนไม่อ่าน ที่ผ่านมาคนที่แปลหนังสือแนวนิวเอจส่วนใหญ่แปลด้วยอาชีพไม่ได้แปลด้วยความรัก ผมผ่านตาหนังสือแปลเช่นนี้มาเยอะ มันทำลายคุณค่าของหนังสือ เพราะสักแต่แปลมาเพื่อขายเท่านั้น หนังสือแปลทางจิตวิญญาณควรเป็นหนังสือที่ผู้แปลกับผู้เขียนต้องเป็นหนึ่งเดียวกันถึงจะมีพลังในการถ่ายทอดต่อผู้อ่าน ตอนที่ผมใช้เวลาร่วม ๓ ปี ในการเรียบเรียง "มูซาชิฉบับท่าพระจันทร์" ออกมาเป็นภาษาไทยจากต้นฉบับภาษาญี่ปุ่น ผมก็ต้องเป็นหนึ่งเดียวกับมูซาชิและคนเขียน หนังสือเล่มนี้จึงกลายเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดอย่างต่อเนื่อง (Long seller) ของผมและพิมพ์ซ้ำมากครั้งที่สุดกว่าหนังสือเล่มอื่นใดของผม
มณฑานี-โจคิดว่าการแปลเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ คนแปลต้องมีหลักการและยึดมั่นต่อหลักการที่ดีของนักแปลที่ดีที่มุ่งรับใช้ผู้อ่าน
สุวินัย-อยากย้ำอีกครั้งว่ามีนักแปลหลายคนที่แปลแบบชนิดหากิน แบบว่าคุณแปลทั้งๆ ที่คุณไม่ได้ศรัทธาในเรื่องนั้นเลยแล้วคุณแปลไปทำไม มิหนำซ้ำบางคนแปลไปแล้วยังไปนินทาคนเขียนอีก มันเหมือนกับคุณทำอาหารให้เขากินแล้วถ่มน้ำลายลงไปในอาหาร
มณฑานี-แต่โจกังวลเหมือนกันนะว่า คนไม่อยากได้งานแปลอย่างนี้ของโจ
สุวินัย- "สารรักจากสวรรค์" เล่มนี้บางทีคุณโจอาจต้องทำใจนะครับว่าอาจจะไม่ประสบผลสำเร็จมากเท่า "เราจะข้ามเวลามาพบกัน" เพราะเรื่องมันหนังขึ้น แต่หนังสือ "สารรักจากสวรรค์" เล่มนี้ความเป็นจริงเล่มที่สุดยอดของดอกเตอร์ไวส์นะครับ เขารวมประสบการณ์และองค์ความรู้ทั้งหมดตลอดชีวิตของการบรรจุไว้ในเล่มนี้เล่มนี้เล่มเดียวจริงๆ ก็ว่าได้
มณฑานี-ในเล่มนี้ดูเหมือนดอกเตอร์ไวส์ก็เคยโดนโจมตีจากฝ่ายที่ไม่ใช่จิตวิญาณหนักเหมือนกัน แต่ท่านก็ผ่านมาได้อย่างสง่างาม
สุวินัย-เรื่องนี้ทุกคนต้องเคยเจอมาทั้งนั้นแหละครับ (หัวเราะ) ทั้ง ดอกเตอร์ไวส์ คุณโจ ผมเคยโดนมาทั้งนั้นสิ่งเดียวที่เราควรทำและต้องทำคือต้องเขียนต่อไป คุณค่าเป็นที่ต่อสู้ได้มา งานเขียนงานแปลหนังสือเป็นสิ่งที่จะหลงเหลืออยู่ คนเขาจะอ่านงานของเราที่หลงเหลืออยู่เพื่อพิสูจน์ความจริงคืออะไรและตัวเราจริงๆ คือใคร อย่างเล่มนี้ของดอกเตอร์ไวส์ผมอ่านแล้วก็คิดว่าท่านเป็นผู้รู้แจ้งในระดับคุรุคนหนึ่งแล้วนะ
๔.วิถีของฆราวาส
"ความรักคือพลังงานอันสมบูรณ์สูง ความรักไม่มีวันจบสิ้น แม้ร่างกายจะแตกดับไปแล้ว"
สารรักจากสวรรค์
มณฑานี-คำสอนเถรวาทที่โจสัมผัสคล้ายกับจะบอกว่า ถ้าอยากรู้แจ้งหลุดพ้นก็ต้องบวชตัดทางโลกให้หมด โดยบอกว่าเถรวาทเป็นคำสอนที่แท้ของพระพุทธเจ้าแต่เซนกับวัชรยานบิดเบือน
สุวินัย-ในแง่นี้ผมโน้มเอียงไปทางฝ่ายเซนกับวัชรยานนะ แบบว่าฆราวาสที่ยังเสพกามยังมีเพศสัมพันธ์อยู่ก็สามารถใช้เรื่องนี้ในการฝึกจิตได้ แบบเห็นว่า การเสพกามเป็นการกระทำของกายที่ผู้นั้นกระทำได้อย่างมีสติได้ ถ้ายอมรับเรื่องนี้ได้วิถีแห่งการพัฒนาทางจิตวิญญาณของฆราวาสก็ยังเปิดกว้างอยู่
มณฑานี-โจเคยทุกข์ทรมานกับเรื่องนี้อยู่นานนะ ว่าจะเอายังกับชีวิตถ้าความรักเป็นกิเลส ดังนั้นเราจะมีความรักไปทำไม
สุวินัย-ความรักถ้าเป็นความรักแบบครอบครองเป็นกิเลสและเป็นทุกข์แน่นอน
มณฑานี-ใช่แต่ตอนนั้นเราไม่รู้เพราะเถรวาทมักจะสอนแค่ว่า "ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์" ดังนั้นความรักคือทุกข์คือกิเลสจึงไม่ควรมีความรักและไปบวชเถิด....จบ
สุวินัย-อันนี้คุณโจต้องไปอ่าน "ความรักสิบมิติ" ของท่านโพธิรักษ์แห่งสันติอโศก ซึ่งมีตั้งแต่ความรักหนุ่มสาวเป็นขั้นต่ำสุด รักระหว่างสายเลือดพ่อแม่เป็นขั้นที่ ๒ รักสังคมเป็นขั้นที่ ๓ รักประเทศชาติเป็นขั้นที่ ๔ รักทั้งโลกเป็นสากลนิยมก็เป็นก็เป็นความรักขั้นที่ ๕ ถ้าขั้นที่ ๖ ก็เป็นความรักแบบเทพเจ้าที่รักทุกสรรพสิ่ง และก็มีความรักที่จะไร้รักเป็นขั้นที่ ๗ จนกระทั่งถึงขั้นสุดท้ายเป็นความรักที่กลายเป็นโพธิปัญญาหรือโพธิญาณอย่างพระพุทธเจ้าจะเห็นได้ว่า การเติบโตทางจิตของคนเรานั้นก็คือการที่ความรักมันใหญ่ขึ้นๆ จากรักแค่ ๒ คน จนเป็นรักทั้งจักรวาล
มณฑานี-ความจริงโจสนใจเรื่องจิตวิญญาณมาตั้งแต่เด็กนะ แต่คนธรรมดาทั่วไปจะชอบบอกว่ามันเป็นเรื่องยาก ไม่มีใครเข้าใจแต่โจจะค้านตลอดว่า ถ้าคุณพูดภาษาให้ง่ายๆ และรู้ความจริงจากประสบการณ์ของตัวเองมันก็ไม่ยาก
สุวินัย-ใช่ ความยากเกิดจากที่ตัวเขาไม่พยายามเปลี่ยนแปลงตนเอง การที่คนเราพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองได้จริงๆ นั้นมักจะต้องผ่านกระบวนการที่เจ็บปวดก่อนเสมอ เพราะในด้านหนึ่งมันหมายถึงการตายของ "ตัวตนเก่า" ของเขาคนนั้น ไม่อาลัยในความเป็นตัวตนเก่าของตนเอง
มณฑานี-โจชอบคำพูดประโยชน์หนึ่งมากเลย "คนเราต้องกล้าพอที่จะเป็นนักรบ" ในสมัยก่อนโจทำตัวเป็นคนกล้านะแต่กล้าไปทางที่ผิดหน่อย อย่างเรื่องประท้วง ต่อต้านอะไรนี่โจทำหมด แต่มันคงเป็นสิ่งที่โจต้องผ่านก่อนที่จะเข้าใจถึงความหมายที่ที่แท้จริงของคนกล้าที่เป็นความกล้าหาญทางจิตวิญญาณ
๕. การแสวงหาคนรุ่นใหม่ในตะวันตก
"จงหาเวลาจดจำความศักดิ์สิทธิ์งดงามของเราให้ได้เพราะนั่นคือ ธรรมชาติที่แท้แห่งจิตวิญญาณของเราเอง"
สารรักจากสวรรค์
สุวินัย-มีงานวิจัยของเมืองนอกออกมา เขาบอกว่าในสหรัฐฯ ช่วง ๓๐ ปีที่ผ่านมานี้รายได้ของคนอเมริกันเพิ่มขึ้นหลายเท่า แต่ความสุขที่พวกเขารู้สึกหรือได้รับมิได้เพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนเดียวกันเลยหรือไม่ได้เพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ สิ่งนี้หมายความว่ายังไง? มันหมายความว่าหลังจากที่คนเราไม่มีปัญหาเรื่องปากท้องไม่ต้องกังวลเรื่องตกงาน มีความมั่นคงในชีวิตแล้ว จำนวนเงินหรือรายได้ที่เพิ่มขึ้นมากกว่านั้นแทบไม่มีผลต่อการก่อให้เกิดความสงบสุขภายในจิตใจของคนผู้นั้นเลย มนุษย์สมัยนี้จึงแสวงหาความสุขสงบอย่างเอาเป็นเอาตายกัน!
มณฑานี-เดี๋ยวนี้หนังสือที่เขียนเกี่ยวกับความสุขเล็กๆ น้อยๆ จะขายดีมากเพราะว่าเขา Back to basic
สุวินัย-บ้านเรานี่ต้องให้ฝรั่งมามีอิทธิพลเหนือเราก่อนคือต้องให้เมืองนอกบูมก่อนเราถึงจะแห่ตาม อย่างตอนนี้ชาวอเมริกันกว่า ๒๐ ล้านคนกำลังแห่เรียนโยคะกัน ๒๐ ล้านคนจาก๒๐๐ กว่าล้านคนนี่ถือว่าเป็นตัวเลขที่มากนะ ตอนนี้ไปอเมริกาเมืองไหนก็มีศูนย์โยคะเปิดเต็มไปหมดแต่ปัญหาคือครูโยคะที่เป็นครูที่แท้ที่สามารถชี้นำทางจิตวิญาณได้มีไม่เพียงพอ โยคะที่บูมในอเมริกาจึงทำท่าทีจะกลายเป็นแอโรบิกอย่างหนึ่งทั้งๆ ที่แก่นแท้ของมันคนละเรื่องกับแอโรบิกเลย มันเป็นวิถีทางจิตต่างหากไม่ใช่วิถีทางกายเพื่อลดน้ำหนักหรือเพื่อความสวยงามภายนอกแต่อย่างใด
มณฑานี-โจชอบบทหนึ่งที่ ดร.ไวส์ เขียนว่า "อยากจะบอกให้พวกเขา (พวกนิวเอจ) เลิกหาคำตอบจากภายนอก เลิกหาวิธีแก้ปัญหาชีวิตแบบฉับพลันแต่กลับหันมามองลึกเข้าไปข้างในตัวเอง และจงอย่าเพิ่งรับความคิดเห็นใดๆ ก่อนใช้ปัญญาญาณของตนเองพิจารณา จงหยุดใฝ่หาพระอาจารย์เหล่าคุรุแล้วจงหาตัวคุณเองให้พบ"
สุวินัย-ผมเห็นด้วยนะ โดยเฉพาะใน "สารรักจากสวรรค์" ที่ตอนหนึ่งพูดไว้ชัดเจนเลยว่า "ภารกิจของเราไม่ใช่เดินตามไสบาบา แต่จงเป็นไสบาบาเถิด ท่านไสบาบาเป็นเป็นความรักตลอดทุกการกระทำของท่าน และพวกเจ้าก็ต้องเป็นความรักในทุกการกระทำเช่นกัน"
สุดท้ายในฐานะที่เป็นตัวแทนคนอ่าน ผมขอกล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้งที่คุณโจได้กรุณาแปลหนังสือที่ทรงคุณค่าน่าอ่านอย่าง "สารรักจากสวรรค์" เล่มนี้ให้คนไทยเราได้อ่านกัน และหวังว่าคุณโจคงจะผลิตผลงานที่สร้างสรรค์ด้วยความรักเช่นนี้มาให้พวกเราได้อ่านและชื่นชมอีกด้วย
มณฑานี-ค่ะ
"แล้วทุกประการจะแจ่มแจ้งแก่เจ้าเมื่อถึงเวลา แต่เจ้าจะต้องมีเวลาไตร่ตรองบางความรู้ที่เราได้มอบให้แก่เจ้าไปแล้ว" สารรักจากสวรรค์