(คำนำผู้เขียน)
ความเป็นมาและบริบททางจิตวิญญาณของเทพพจนา
- 1 -
ประสบการณ์เร้นลับเกี่ยวกับ ‘เสด็จเตี่ย’ กรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์
หลังจากที่ผมได้ฝึกวิชาขันธมารขั้นสูง โดยนั่งสมาธิกับงูเห่าในช่วง ปลายเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2542 ตัวผมกลับเกิดความรู้สึกอย่างรุนแรงขึ้น ภายในใจที่ไม่อาจอธิบายได้ ราวกับตัวผมได้รับแรงดลใจจาก ‘บางสิ่ง’ ให้ผมหัน มาสนใจเรื่องของเทพเจ้า โดยเฉพาะเทพเจ้าของฮินดู อย่างที่ตัวผมก็อธิบาย ไม่ถูก และก็ไม่ทราบถึงบริบทด้วยว่า จู่ๆ ทำไมผมถึงต้องศึกษาเรื่องพวกนี้ด้วย
ผมศึกษาเรื่องของเทพเจ้าจากชื่อของพระนารายณ์หนึ่งพันนาม (วิษณุสหัสรานาม) ก่อนเป็นอันดับแรก ด้วยความเข้าใจของตัวผมในขณะนั้นว่า ตัวเองอาจจะมีความผูกพันบางอย่างกับเทพเจ้าฮินดูมากกว่าที่เคยคาดคิดไว้มากนัก เพราะพอย้อนทบทวนเส้นทางการศึกษาทางจิตวิญญาณที่ผ่านมาของผม ท่านสัตยา ไสบาบา ที่ผมนับถือท่านเป็นคุรุเทพของผม ท่านก็เป็นอวตารของ พระกฤษณะ ซึ่งเป็นปางหนึ่งของพระนารายณ์มิใช่หรือ ? และพระพุทธเจ้า ที่ผมเคารพบูชาสูงสุดในทางฮินดูก็บอกว่า พระพุทธองค์เป็นปางอวตารปางหนึ่ง ของพระนารายณ์มิใช่หรือ ?
แต่ในอีกด้านหนึ่ง ตรรกะของผมกำลังแย้งกับความรู้สึกของผม เพราะที่ผ่านมา ตัวผมชมชอบการฝึกโยคะแทบทุกสายมาก ถ้าเช่นนั้นตัวผม ก็น่าที่จะผูกพันกับพระศิวะมากกว่าเพราะท่านคือ ปฐมคุรุแห่งศาสตร์โยคะ ทั้งปวงมิใช่หรือ แต่แล้วผมก็ได้รับคำตอบจากหนังสือ “วิษณุสหัสรานาม” เล่มนี้ที่กล่าวว่า ชื่อหนึ่งของพระนารายณ์ก็คือโยคะ และเขาคือพระศิวะ เขาคือ โยคะ และชี้นำผู้คนที่ฝึกโยคะ เขาคือจักรวาลและดำรงอยู่ในทุกสรรพสิ่ง เขาคือ ธรรมจิต เขาคือเส้นทางอันสูงส่ง เขาคือพลัง เขาคือปราณ เขาคือพรอัน ประเสิรฐสุด เขาคือคุรุผู้ประเสิรฐสุด เขาคือความคิดอันสูงส่ง เขาคือปัญญา อันศักดิ์สิทธิ์ เขาแบกภาระของแผ่นดิน เขาแบกโลกทั้งโลก เขาคือพญานาค จักรวาล (มังกรแห่งจักรวาล)
หลังจากที่ตัวผมเริ่มเข้าใจความผูกพันที่ผมมีกับสายเทพเจ้าแล้ว ในช่วงนั้นหลังจากที่เสร็จจากการนั่งสมาธิรวมหมู่ที่สำนักปฏิบัติธรรมของท่าน อาจารย์บูรพา ผมได้ตั้งอธิษฐานจิตทุกครั้งในตอนนั้นว่า ขอให้ผมได้พบกับ คุรุที่เป็นเทวดาหรือเทพเจ้าด้วยเถิด ผมเริ่มอธิษฐานจิตเช่นนี้ในช่วงปลายเดือน มีนาคม พ.ศ.2542 และเพียงสองเดือนหลังจากนั้น คือ ในกลางดึกของคืนวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ.2542 ตัวผมได้มีประสบการณ์เร้นลับกับ ‘เสด็จเตี่ย’ กรม หลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ โดยที่ก่อนหน้านี้ผมแทบไม่รู้จักเลย และไม่เคย รับทราบเรื่องราวของท่านทั้งในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่เป็นมนุษย์ และในสมัย ที่ท่านกลายเป็นเทพเจ้าแล้วมาก่อนเลย
หลังจากที่ ‘เสด็จเตี่ย’ ลงมาประทับทรงในร่างทรงของตำหนักทรง แห่งหนึ่ง ประโยคแรกที่ท่านเอ่ยปากกับผมก็คือ
“สุวินัย เธอรู้มั้ยว่า ฉันให้เธอได้พบกับฉันด้วยเรื่องอะไร ? ฉันลงมา โปรดสัตว์ ช่วยเหลือพวกมนุษย์มาเป็นเวลาหลายสิบปี จนมีลูกศิษย์ลูกหามาก มายทั่วประเทศ แต่ที่ผ่านมา ผู้ที่มาหาฉัน มารับใช้ฉัน มักมีแต่ข้าราชบริวาร เก่าแก่ของฉันเท่านั้น หรือไม่ก็เป็นแค่ผู้ที่มาขอความช่วยเหลือจากฉันเท่านั้น”
“....” ผมนั่งรับฟังคำพูดของท่านอย่างใจจดใจจ่อ
“สุวินัย บัดนี้ฉันต้องการทายาทที่เป็นมนุษย์ มาสืบทอดเจตนารมณ์ ของฉัน เพราะฉันรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกินในการช่วยพวกมนุษย์เหล่านี้ ตอนนี้ ฉันต้องการแขนและขาที่จะมาช่วยปฏิบัติภารกิจศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ฉัน”
“....” คำพูดแต่ละคำของ ‘เสด็จเตี่ย’ สะท้านเข้าไปในจิตวิญญาณ ของผมอย่างลึกซึ้ง
“สุวินัย ตัวเธอได้ตั้งอธิษฐานจิตต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนที่จะเป็นคุรุ และพระโพธิสัตว์มิใช่หรือ ? เธอเป็นคนที่มีหัวใจดีงาม ใจของเธอเปี่ยมไป ด้วยความรักความปรารถนาดีต่อมนุษยชาติ แต่แค่นั้นยังไม่พอหรอกนะในการ ที่เธอจะเป็นคุรุผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถช่วยคนหมู่มากได้”
‘เสด็จเตี่ย’ ท่านสามารถอ่านจิตผมได้ สามารถรู้ว่าผมกำลังคิดอะไร อยู่ก่อนที่ตัวผมจะเอ่ยปากพูดออกมาเสียอีก แต่ในที่สุดผมก็พูดความในใจ ของผมออกมาว่า
“ผมอยากจะช่วยกู้ชาติครับ”
“ดีมาก สุวินัย เธอพูดถูกใจฉันมาก เอานี่หมากของฉัน เธอจงกิน เข้าไป แล้วต่อจากนี้ไปวาจาของเธอจะศักดิ์สิทธิ์ พูดคำไหนคำนั้น”
“ครับ” ผมรับคำอย่างว่าง่าย แล้วเคี้ยวหมากพลูที่ท่านยื่นมาให้
“สุวินัย มาดื่มสุรากับฉันสัก 10 จอก คนจีนโบราณ เวลารับศิษย์เขา จะดื่มสุรากัน”
ผมยอมดื่มเหล้าเพื่อท่าน ทั้งๆ ที่ตามปกติผมจะไม่แตะต้องสุราและ บุหรี่เลย สุราแต่ละจอกซึ่งเป็นขันเล็กๆ ที่ผมดื่มเข้าไปรวดเดียวทุกครั้ง เสด็จ เตี่ยจะจุ่มนิ้วกลางของท่านลงไปในจอกสุราของผมก่อนเสมอ เพื่อเสกและ อัดพลังแห่งเทพให้แก่ผม เท่าที่ทราบมาแทบไม่มีใครได้รับสุราที่อัดพลังแห่ง เทพนี้จากเสด็จเตี่ย ยกเว้นคนที่ท่านพึงพอใจเป็นพิเศษ และเป็นศิษย์ของท่าน เท่านั้น
ผมโขกศีรษะกับพื้นสามครั้งเพื่อคารวะคุรุเทพของตน จากนั้นเสด็จ เตี่ยก็สั่งให้ผมไปฝึกโยคะโดยการนั่งบนเก้าอี้ตะปูที่มีขนาดยาวกว่าสามนิ้วเต็ม เก้าอี้ไม้ เป็นเวลากว่ายี่สิบนาทีก่อนที่ท่านจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาโยคะของท่าน ให้แก่ผมว่า อยู่ที่การแยกจิตออกจากกาย ใจเคลื่อนไหวอย่างไรก็ได้ แต่จิต ต้องตั้งมั่นอยู่ที่ช่องท้องเสมอ ต่อจากนั้น ท่านยกกำปั้นสองมือของท่านขึ้นมา ให้ผมเลือกว่า มือไหนของท่านที่กำของอยู่ในมือ เมื่อผมไม่ลังเลใจที่จะเลือก กำปั้นข้างหนึ่งของท่านโดยไม่ใช้ความคิด ท่านส่ายหัวแบมือออก ปรากฏว่า กำปั้นข้างที่ผมเลือกนั้นมีของอยู่ในกำมือจริงๆ
“เฮ้อ ! สุวินัย ฉันไม่ทดสอบเธออีกแล้วนะ แค่นี้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ แล้วว่า จิตเธอกับจิตฉันสามารถสื่อสารสัมพันธ์กันได้อย่างน่าทึ่งเสมอ ต่อจากนี้ เป็นต้นไปก็เช่นกัน”
ยิ่งดึก ภาพลักษณ์ของเสด็จเตี่ยก็ยิ่งเปลี่ยนไปจากความรู้สึกตอน แรกที่เห็นท่านเป็น คนไทย ผู้มีศักดิ์เป็นหน่อกษัตริย์ กลายเป็น คนแขก ผู้บำเพ็ญพรต และมีตบะแก่กล้าที่แฝงไปด้วยความอ่อนโยนและเมตตายิ่ง ราวกับว่าท่านได้กลายเป็นอีกคนหนึ่งก็ไม่ปาน เพราะแม้แต่สำเนียงพูดของท่าน ก็ยังเป็นแบบแขก จนผมอดนึกไม่ได้ว่า ถ้าหากท่านไสบาบา หรือพระกฤษณะ หรือพระศิวะ ท่านมาพูดกับผมเป็นภาษาไทย ท่านก็คงพูดกับผมด้วยสำเนียง แบบนี้
“เด็กน้อย เธอชื่ออะไร?” ท่านถามผม
“ผมชื่อ สุวินัย นามสกุล ภรณวลัย ครับ”
“เธอรู้ความหมายของชื่อและนามสกุลของเธอมั้ย”
“สุวินัย น่าจะหมายความว่า ผู้ที่มีวินัยดี ส่วนความหมายของ นามสกุลนี้ของผม ตัวผมก็ไม่ทราบครับ เพราะเป็นนามสกุลที่ผมยืมคุณอามา ใช้ตั้งแต่เด็กครับ”
“คำว่า สุวินัย หมายถึง ผู้ที่อยู่ในระเบียบวินัยของพระเจ้า
คำว่า วลัย คือดวงแก้วของพระนารายณ์
ภรณวลัย คือ ดวงแก้วของพระนารายณ์ที่ประทานพรมาให้แก่เธอ”
พอถึงตอนนั้น ลึกๆ ในใจของผมบังเกิดความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยม ที่อธิบายไม่ถูกว่า ผู้ที่กำลังสนทนากับผมอยู่ในขณะนี้คือพระนารายณ์หรือพระ ศิวะอย่างแน่นอน
“สุราที่ฉันให้เธอดื่มเมื่อครู่คือน้ำอมฤตหรือพิษของนาคราช พระศิวะ ทรงยอมดื่มพิษของนาคราชอันร้ายแรงจนพระศอดำ ก็เพื่อมิให้เกิดอันตรายแก่ เหล่าทวยเทพ... เธอคือพญางูที่คล้องอยู่บนคอของฉัน เธอปรารถนาเป็น พระโพธิสัตว์มานานแล้ว”
...จาก “พระนารายณ์” ภาพลักษณ์ของท่านได้กลับมาเป็นเสด็จเตี่ย อีกครั้ง เสด็จเตี่ยได้กล่าวกับผมอีกว่า ในชาติหนึ่งท่านเคยเป็นมังกรเขียวใน ทะเลน่ำไห่ (ทะเลใต้) รับใช้มหาโพธิสัตว์กวนอิม ท่านได้ฝึกฝนตนเองจนรู้ถึง วิธีที่พญามังกรสามารถจะกลายเป็นพระโพธิสัตว์ได้และท่านจะถ่ายทอดสิ่งนี้ให้ แก่ผม
“สุวินัย ในชาติหนึ่งที่ฉันเคยบวชเป็นพระและเธอเป็นศิษย์ของฉัน ตัวเธอได้ติดและตกอยู่ในช่วงของความรัก ในชาตินี้เธอไปอยู่คนเดียวในต่าง ประเทศและเดียวดายตั้งแต่วัยหนุ่ม เธอโหยหาความรัก แต่ในตอนนั้นเธอ ยังไม่รู้จักฉัน (พระเจ้า) หลังจากนั้น เมื่อเธอหันมาแสวงหาทางจิตวิญญาณ เธอจึงมีฉันอยู่ในหัวใจเธอตลอดมา”
น้ำตาแห่งความปลื้มปิติเอ่อล้นเต็มเบ้าตาของผมทั้งสองข้าง ในที่สุด ผมก็ได้พบกับ “พระเจ้า” หรือ “เทพเจ้า” ของผมในร่างของคุรุเทพที่อยู่เบื้องหน้า ผมในขณะนี้แล้ว ผมก้มศีรษะแนบที่ปลายเท้าของเสด็จเตี่ยด้วยจิตบูชาสูงสุด เท่าที่ศิษย์คนหนึ่งจะแสดงกับคุรุของตัวเองได้
“สุวินัย ในที่สุดวันนี้เราก็ได้พบกันอีกแล้วนะ แต่ความจริงฉันเฝ้า ดูเธอมาตลอดเวลานะ ไม่ใช่แค่ในชาตินี้หรอก แต่ทุกๆ ชาติที่ผ่านมาด้วย ใน ชาตินี้ฉันเฝ้าดูเธอด้วยความสนใจและรอคอยว่า เมื่อไหร่เธอจะมีฉันอยู่ในหัวใจ เธอเสียที และเมื่อไหร่เราจะได้เจอกันเสียที”
“บัดนี้ผมมีเสด็จพ่ออยู่ในหัวใจแล้วครับ”
“เฮ้อ ! พวกมนุษย์เนี่ย ไม่เห็นมีใครรักฉันจริงสักคน”
“ไม่จริงหรอกครับ แล้ว ‘อรชุน’ ละครับ”
“ฉันหมายถึงคนสมัยนี้”
“ผมรักท่านครับ”
“สุวินัย เธอแน่ใจหรือว่า เธอรักฉันได้ 100 % แล้วฉันจะคอยดู ฉันจะลองใจเธอ และทดสอบเธออย่างหนักหน่วงว่า เธอรักฉันจริงอย่างที่ปาก เธอพูดหรือไม่”
“ครับ”
“สุวินัย ต่อไปฉันจะพาเธอเปิดมิติทุกบาน ฉันจะชักนำให้เธอได้ พานพบและเรียนรู้วิชาทางจิตอีกมากมาย ฉันจะอยู่เบื้องหลังเธอ ส่งเสริมเธอ ดูแลเธอทุกฝีก้าว จนกว่าตัวเธอจะเดินไปถึงประตูสุดท้ายที่ฉันจะเป็นคนเปิด ประตูบานนี้ให้แก่เธอเอง นั่นคือ “พุทธภูมิ”
- 2 -
ผมได้ตายไปแล้วจากสังคมนี้
วันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ.2542 ... ช่วงดึก
‘เสด็จเตี่ย’ ได้มอบแหวนทองคำที่เป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑที่ ท่านมักใส่ติดตัวเป็นประจำให้แก่ผม ราวกับว่าท่านรู้อนาคตล่วงหน้าว่า ต่อไป ผมจะไม่ค่อยได้มาพบท่านบ่อยครั้งเหมือนช่วงที่ผ่านมาอีกแล้ว
“สุวินัย ฉันขอมอบแหวนวงนี้ของฉันให้แก่เธอ ให้เธอสวมใส่เพื่อ ปฏิบัติภารกิจศักดิ์สิทธิ์ให้ฉัน ตัวฉันมีลูกศิษย์ลูกหามากมายก็จริง แต่เธอเป็น คนแรกที่ได้แหวนพระนารยณ์วงนี้ของฉัน เพราะ เธอคือคนที่ฉันเลือก แต่เธอ จะต้องรู้นะว่า ผู้ใดก็ตามที่ได้แหวนวงนี้ไปครอง ผู้นั้นจะต้องมีอันเป็นไป สุวินัย เธอจะกล้ารับแหวนพระนารายณ์วงนี้ของฉันมั้ย ?”
“กล้าครับ” ผมตอบท่านโดยไม่ลังเลแม้แต่นิดเดีียว การตัดสินใจ ใดๆ โดยไม่ลังเล นับเป็นนิสัยอย่างหนึ่งของตัวผม ซึ่งเสด็จเตี่ยเคยชมว่า เป็น พฤติกรรมของวีรบุรุษผู้กล้า
“สุวินัย แหวนพระนารายณ์วงนี้แม้จะนำชื่อเสียง อำนาจ โชคลาภ บุญบารมี มาให้ตัวเธอก็จริง แต่ก็จะนำเคราะห์กรรมทั้งหลายทั้งปวงมาให้เธอ แบกรับ เพื่อการเติบโตทางจิตวิญญาณของตัวเธอด้วย เพราะผู้ที่ได้มาเป็น ศิษย์ ของเทพเจ้า อย่างเธอจะต้องถูกตัวฉันทดสอบอีกมาก และ เธอจะต้องพบกับ ความสูญเสียอีกมาก เพื่อให้เธอได้พิสูจน์ตัวเอง เธอจะกล้าเผชิญการทดสอบ เหล่านี้จากฉันหรือไม่ ลูกรัก ?”
“กล้าครับ” ผมตอบรับท่านอย่างหนักแน่นและจริงจัง
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีคนมาหาผมเพื่อให้ผมช่วยตามหาอาจารย์กู้ ซึ่งผมเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ของอาจารย์กู้มาก่อนแล้ว ผม กำพระผงสีดำที่อาจารย์กู้เสกขึ้นมาจากดิน จากผู้ที่มาขอให้ผมช่วยตามหา อาจารย์กู้ที่หายสาบสูญไร้ร่องรอยกว่าสามปีแล้ว โดยอธิษฐานจิตถึงเสด็จเตี่ย ขอให้ท่านช่วยดลบันดาลให้สามารถได้รับการติดต่อจากอาจารย์กู้ด้วยเทอญ สามชั่วโมงหลังจากนั้น ผมก็ได้รับการติดต่อทางอ้อมจากอาจารย์กู้ นี่คือจุด เริ่มต้นที่ผมเข้าไปเกี่ยวข้องกับอาจารย์กู้ และนำไปสู่ “เหตุการณ์เปรตคำชะโนด” ซึ่งเป็นข่าวใหญ่ระดับประเทศในช่วงระหว่าง วันที่ 18 พฤษภาคม ถึงต้นเดือน มิถุนายน พ.ศ. 2543 ผลกระทบจากเหตุการณ์เปรตคำชะโนดนี้น่าจะเป็นเหตุ การณ์ที่สร้างความบอบช้ำมากที่สุดในชีวิตของผม เพราะผมต้องสูญเสียเกือบ ทุกสิ่งทุกอย่างในคราเดียวกัน ไม่ว่าชื่อเสียงที่สร้างสมมาทั้งชีวิต ทรัพย์สิน เงินทอง และลูกศิษย์บางส่วนที่ตีจาก ผมต้องตกเป็นผู้ต้องหาคดีความหมิ่น ประมาทโดยโฆษณา ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล กลายเป็นตัวตลกผู้งมงายในสายตา ของสื่อและชาวบ้านทั่วทั้งประเทศ ได้รับจดหมายเยาะเย้ยถากถางจากคนขน ขยะ และแม่ค้าที่จบแค่ประถมสี่ ได้รับความสมเพชจากปัญญาชนที่มองเห็นการ กระทำของผมเป็นเรื่องของคนขาดสติเท่านั้น
แค่วันที่เลวร้ายวันหนึ่งไม่อาจตัดสินคนเราทั้งชีวิตได้ฉันใด เรื่องที่ สั่นสะเทือนความรู้สึกของคนเราบางครั้งก็ตรงกันข้ามกับสามัญสำนึกของคน ทั่วไป ต่อให้ผมถูกโจมตีโดยคู่ต่อสู้ที่ทรงอิทธิพลขนาดไหนก็ไม่ได้ทำให้ผม สะเทือนใจมากเท่ากับการถูกเข้าใจผิดจากคนที่ผมรัก ต่อให้ผมถูกเย้ยหยัน หัวเราะเยาะจากผู้คนทั้งสังคม ก็ไม่ได้ทำให้ตัวผมเจ็บปวดเท่ากับการไม่ได้รับ ความเข้าใจจากคนๆ หนึ่งที่ผมผูกพันด้วย
จากเหตุการณ์เปรตคำชะโนดซึ่งเป็นทั้งวิกฤติและโอกาสในชีวิตของ ผมในคราเดียวกัน ผมได้ตัดสินใจ “ตายไป” จากสังคมนี้เป็นการชั่วคราว เพราะผมเลือกที่จะเป็นหยกที่แหกลลาญ ดีกว่าที่จะเป็นกระเบื้องที่สมบูรณ์ ผมได้ตั้งใจไว้ว่า ผมจะกลับคืนสู่สังคมนี้อีกครั้งก็ต่อเมื่อผมสามารถเกิดใหม่ ทางจิตวิญญาณอีกได้เท่านั้น
- 3 -
บทเรียน
สองเดือนต่อมาหลังจากเกิดเหตุการณ์เปรตคำชะโนด ผมได้มาพบ เสด็จเตี่ยผู้เป็นคุรุเทพของผมอีกครั้ง ผมรู้ว่าเหตุการณ์ทุกเรื่องที่ผมเพิ่งประสบ มามิใช่เรื่องบังเอิญเลยแม้แต่เรื่องเดียว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมล้วนมีความ หมาย และเป็นบทเรียนเพื่อการเติบโตทางจิตวิญญาณของตัวผมทั้งสิ้น ผมตื่นรู้ และตระหนักดีว่า ขณะนี้ ณ ที่นี้ ผมสมควรทำอะไร ผมควรใช้ชีวิตเยี่ยงไร และผมควรเลือกเช่นใด ต่อให้ตัวผม “บอบช้ำ” จากการเลือกเช่นนั้น ผมก็ ยินดีน้อมรับผลของการเลือกนั้นอย่างเต็มใจ แม้จะเป็นความบอบช้ำและปวด ร้าวทางจิตใจแค่ไหนก็ตาม เพราะผมรู้ดีว่า ทุกอย่างมีความหมายและมี เจตนารมณ์ของฟ้าดำรงอยู่เสมอ
“สุวินัยเธอรู้สึกอย่างไรบ้างกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา” เสด็จเตี่ยถามผม
“ผมกลายเป็น ตัวตลก ในสายตาของผู้คนทั้งหลายไปแล้วครับ แต่ผมไม่เคยสำนึกเสียใจในสิ่งที่ผมได้เลือกกระทำตามมโนธรรมในหัวใจ ของผมในครั้งนั้นเลยครับ”
“ดีแล้ว พระเอก อย่างเธอ บางครั้งลองรับบทเป็น ตัวตลก บ้างก็ ไม่เลวนะ ถึงอย่างไรฉันก็อยู่เบื้องหลังเธอเสมอ ฉันเป็นผู้กำกับ เธอเป็นผู้แสดง เธอเล่นบทบาทของเธอให้เต็มที่ ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง ฉันเคย สอนเธอไปแล้วมิใช่หรือว่า ให้มองทุกๆ เหตุการณ์ เหมือนกับฉากๆ หนึ่ง ที่ ผ่านมาแล้วผ่านไป”
“ครับ”
- 4 -
เยียวยา
ก่อนที่อาจารย์กู้จะถูกตำรวจจับ ผมเคยถามอาจารย์กู้ตรงๆ ว่า อาจารย์ถือพรหมจรรย์อยู่หรือไม่ เพราะอาจารย์กู้แต่งกายเป็นพระตลอด ส่วน เรื่องฤทธิ์ที่สามารถเสกดินเป็นพระพุทธรูป หรือสามารถเคลื่อนย้ายวัตถุจาก ที่ไกลๆ มาปรากฏในอีกที่หนึ่งได้ ผมไม่เคยสงสัยเลย เพราะเห็นกับตามาหลาย ครั้งแล้ว ตอนนั้นอาจารย์กู้ยืนยันกับผมหนักแน่นว่า “อาตมารักษาพรหมจรรย์ มาโดยตลอด” นี่เป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ผมต้องลุกขึ้นมาปกป้องอาจารย์กู้ใน ตอนนั้น โดยเอาเกียตริยศชื่อเสียงทั้งหมดของผมเป็นเดิมพัน แต่สุดท้ายความ จริงก็เปิดเผยออกมาจนได้ว่า ผมถูกอาจารย์กู้หลอกลวง จริงๆ แล้ว อาจารย์กู้ เป็นพระเก๊หรือปาราชิกไปนานแล้ว แต่เขายังมีพลังจิตหรือมีฤทธิ์อยู่เพื่อใช้ ต้มตุ๋นผู้คนที่เลื่อมใสเท่านั้น นี่ต่างหากคือความปวดร้าวที่แท้จริงของตัวผม แต่ ผมก็ไม่กล่าวร้ายอาจารย์กู้ใดๆ เพราะอย่างน้อยที่ผ่านมา ผมก็เคยนับถือเขา เป็นคุรุคนหนึ่งของผม ผมเพียงแค่เปล่งวาจาว่า ผมขออโหสิที่อาจารย์กู้เคย หลอกลวงผม แต่ไม่ถือว่าอาจารย์กู้เป็นคุรุของผมอีกแล้วเท่านั้น
จะว่าไปแล้ว หนังสือ “เทพพจนา” เล่มนี้คือส่วนหนึ่งในกระบวน การเยียวยาทางจิตวิญญาณของตัวผม หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นที่ทำให้ผม ตกอยู่ในสภาพ “ตายทั้งเป็น” ก่อนที่ตัวจะเกิดใหม่ทางจิตวิญญาณกลายเป็น “มังกรบูรณา” ในอีกสามปีหลังจากนั้น
หนังสือ “เทพพจนา” เล่มนี้ เป็นงานเขียนที่ผมได้แรงบันดาลใจ จากหนังสือ “Conversation with God” ของ Neale Donald Walsch ประสานกับประสบการณ์ทางวิญญาณเกี่ยวกับเทพเจ้าที่ผมได้ประสบในช่วง หนึ่งของชีวิต และความมีอันเป็นไปที่ผมได้รับจากเหตุการณ์เปรตคำชะโนด (พ.ศ.2543) รวมทั้งความเป็นไปหลังจากนั้นของตัวผม ทั้งหมดนี้ได้ถูกกลั่น กรอง หลอมรวมออกมาเป็นทุกๆ ตัวอักษรของหนังสือ “เทพพจนา” เล่มนี้ เพื่อให้ท่านผู้อ่านหันมาเปลี่ยนแปลงตนเอง ด้วยการพึ่งตนเองอย่างคำสอนของ พระเจ้าหรือเทพเจ้าในหนังสือเล่มนี้
เนื่องเพราะ เทพเจ้าที่แท้ย่อมต้องสอนให้มนุษย์ค้นหา เทพภาวะ ของตนในภายในตนเอง มิใช่นอกตน ซึ่งหาความจีรังไม่ได้ แต่ภายในตนเอง ของคนเราแต่ละคนนี้ต่างหากที่เราสามารถค้นพบความจีรังยั่งยืนหรือความเป็น อมตะอันเป็นคุณลักษณะของเทพเจ้าที่แท้จริงได้
ผมขออุทิศคุณความดีทั้งหมดของหนังสือ “เทพพจนา” เล่มนี้ของ ผมแด่พระผู้เป็นเจ้า และเทพเจ้า ผู้เป็นคุรุเทพของผมที่เป็นแรงบันดาลใจ ให้ตัวผมผู้เป็นศิษย์จับปากกาสลักคำสอนเพื่อชีวิตเหล่านี้ลงในหัวใจของ พวกท่านทุกคน
การละร่างของท่าน สัตยา ไสบาบา ในปี พ.ศ.2554 เป็นอีกสาเหตุ หนึ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจตีพิมพ์หนังสือ “เทพพจนา” ออกมาอีกครั้ง หลังจากว่าง เว้นมานานถึงสิบปีเต็ม ท่านไส บาบา เป็นคุรุเทพอีกท่านหนึ่งของผมที่ตัวผม ผูกพันกับท่านมาเป็นเวลากว่ายี่สิบปีแล้ว การจากไปทางกายภาพของท่าน ไส บาบา ทำให้ผมตระหนักแก่ใจตนเองว่า ตัวผมรักท่านมากเพียงใด ตัวผมรัก พระเจ้ามากขนาดไหน ท่านอยู่ในใจของผมเสมอมา และจะอยู่ในใจของผม ตลอดไป
สุวินัย ภรณวลัย
19 พฤษภาคม พ.ศ.2554
“วันอาภากร