แนวทางการเสริมสร้างสุขภาพอย่างบูรณาการ
เพื่อการชะลอวัยและการมีอายุยืนถึงร้อยปี หรือกว่านั้น (14)
(26/6/2555)
*ตัวตนกับร่างกายแบบกลไกควอนตัม*
คนเราเป็นทั้งสิ่งมีชีวิตทางกายภาพ และสิ่งมีชีวิตทางควอนตัม ชีวิตเราจึงดำรงอยู่ในหลายมิติ ณ ขณะนี้เราอยู่ในที่สองแห่งพร้อมกัน แห่งหนึ่งคือ โลกทางกายภาพที่เรามองเห็นและรู้สึกได้ อันเป็นโลกซึ่งร่างกายเราอยู่ในความควบคุมของพลังธรรมชาติ ภายนอกทั้งหมดไม่ว่าความเย็น ความร้อน แสงแดดหรือสายฝน รวมทั้งการโจมตีของเชื้อโรค และไวรัส ล้วนมีผลต่อร่างกายเราทั้งสิ้น
แต่เราก็อยู่ในโลกของควอนตัมไปพร้อมๆ กันเช่นเดียวกันด้วย อันเป็นโลกซึ่งปัจจัยภายนอกทั้งหลายทั้งปวง รวมทั้งข้อจำกัดในโลกทางกายภาพต่างๆ มีผลน้อยมาก หรือแทบไม่มีเลยต่อจิตสำนึกของเรา เมื่อรวมเหตุการณ์เชิงควอนตัมทั้งหลายในเซลล์ของเราเข้าด้วยกัน ผลรวมทั้งหมดที่ได้คือ ร่างกายแบบกลไกควอนตัม (The Quantum Mechanical Body) ของตัวเรา ซึ่งทำงานตามสรีระที่มองไม่เห็น ร่างกายแบบกลไกควอนตัมของเรา เป็นจิตสำนึกที่เคลื่อนไหว และเป็นส่วนหนึ่งของสนามนิรันดร์ (The Ethernal Field) ของจิตสำนึกที่ดำรงอยู่ในแหล่งกำเนิดของการรังสรรค์ เชาวน์ปัญญาภายในตัวเราแผ่กระจายออกดุจแสงที่ทอดข้ามเขตแดนระหว่างโลกของควอนตัมกับโลกทางกายภาพ ทำการประสานโลกทั้งสองนี้เข้าด้วยกันในระดับอนุภาค ทั้งร่างกายทางกายภาพ และร่างกายแบบกลไกควอนตัมนี้ ล้วนเป็น “เรือน” ของเราในความหมายที่ว่าทั้งสองเป็นจักรวาลคู่ขนานที่ตัวเราเดินทางไปมาอยู่ในนั้น โดยไม่รู้ตัว
เมื่อเรามองดูตัวเอง ในฐานะที่เป็นร่างกายทางกายภาพ เราจะเห็นว่า มันถูกสร้างขึ้นจากเซลล์ เนื้อเยื่อ และอวัยวะ ถูกจำกัดอยู่ในเวลาและอวกาศ ขับเคลื่อนด้วยกระบวนการชีวเคมีในการกิน การหายใจ การย่อย เป็นต้น แต่ถ้าเรามองดูตัวเองในฐานะที่เป็นร่างกายแบบควอนตัมด้วย เราจะเห็นด้วยเช่นกันว่าชีวิตนี้ของเราถูกสร้างขึ้นจากแรงกระตุ้นที่มองไม่เห็นของเชาวน์ปัญญาแห่งจักรวาล ไม่ถูกจำกัดในเวลาและอวกาศ ขับเคลื่อนด้วยความคิด ความรู้สึก ความปรารถนา และความทรงจำ เป็นต้น
ร่างกายทางกายภาพนี้ครอบคลุมเนื้อที่เพียงไม่กี่ลูกบาศก์ฟุตเท่านั้นเอง มันทำหน้าที่เหมือนระบบค้ำจุนชีวิตที่เปราะบางเป็นเวลาแค่เจ็ดหรือแปดทศวรรษก่อนที่จะถูกทิ้งไป ในทางกลับกัน ร่างกายแบบกลไกควอนตัม ครอบคลุมเนื้อที่ไม่มีขอบเขตจำกัดชัดเจน และไม่มีวันสึกหรอ โดยที่ตัวเชาวน์ปัญญาในร่างกายเราไม่มีพื้นที่ทางกายภาพเลย
ในระดับของร่างกายแบบกลไกควอนตัมนี้ ทุกแง่มุมของประสบการณ์ล้วนถูกหุ้มห่อไว้เป็นความทรงจำในจุดเดียว ซึ่งอยู่นอกเหนือโลกสามมิติ ทุกอย่างจะอยู่ที่นั่นทั้งทีทั้งหมด ในอวกาศแห่งควอนตัมนี้มโนภาพที่ประทับบนร่างกายแบบกลไกควอนตัมของเรา เป็นสิ่งที่สลับซับซ้อน เช่นเดียวกับ “ตัวตน” ของเรา หรือกล่าวโดยรวบรัด มโนภาพเหล่านี้แหละคือ “ตัวตน” ของเรา ตัวเราดำรงชีวิตด้วยมโนภาพที่เราจะสะสมไว้จากการสร้างแบบฉบับแห่งเวลาของเราเอง รวมทั้งในกระบวนการที่เรากำหนดแบบของร่างกายที่ต้องการตามแบบฉบับแห่งเวลาของเราด้วย
ในมุมมองแบบควอนตัม ร่างกายของเราเป็นแบบหนึ่งของจิตใจของคนเราด้วย ร่างกายของเราสามารถจดจำสิ่งที่จิตใจเราได้หลงลืมไปนานแล้วได้ ความทรงจำในอดีต โดยเฉพาะความทรงจำที่ขมขื่นและปวดร้าว จึงสามารถมีผลต่อร่างกายของคนเราในปัจจุบันได้อย่างเหลือเชื่อ ทั้งนี้เพราะร่างกายทางกายภาพของเรา ยังเป็นคลังเก็บความทรงจำของร่างกายแบบกลไกควอนตัมด้วยในเวลาเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงตัวเองในเชิงกายภาพ จึงสามารถช่วยปลดปล่อยตัวเราจากความเจ็บปวด ขมขื่นทางจิตใจในอดีตได้
เพราะเมื่อเราสามารถเปลี่ยนแปลงร่างกายทางกายภาพแบบเก่าของเราได้ การสร้างสรรค์ “ตัวตนใหม่” ทางจิตใจของเราก็เป็นไปได้ด้วยเช่นกัน คนเราทุกคนล้วนถูกจองจำด้วย “อดีต” ของตัวเองเอาไว้ไม่มากก็น้อย แต่การมีสำนึกถึงกลไกควอนตัม หรือการมีสำนึกแบบกลไกควอนตัมนี้ จะช่วยให้เราสามารถปลดปล่อยตัวตนของเราจาก “อดีต” ของเราได้ ตัวตนของเราจะเป็นอิสระยิ่งขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ ตัวเราสามารถปลดเปลื้องความทรงจำอันขมขื่น และปวดร้าวในอดีตที่ทั้งไร้ประโยชน์ ทั้งขัดขวางความสุขของเรานี้ออกไปได้แล้วเท่านั้น ชีวิตไม่ใช่การรังสรรค์ทั้งหมดหรอก ประสบการณ์ที่เก่าและหมดความหมายแล้ว จำเป็นต้องนำมาพิจารณาใหม่ และตัวเราเองก็ต้องกล้าพอที่จะปล่อยวางมันลงไป
คนส่วนใหญ่มักไม่ค่อยนึกถึงกันว่า สิ่งที่เป็นธรรมชาติมากที่สุดของคนเรา คือการที่ร่างกายและจิตใจเราพยายามที่จะขับพลังงานด้านลบทิ้งทันทีที่รู้สึกเช่นนั้น เช่น ถ้าหิวก็กิน ถ้าง่วงก็นอน ถ้าเครียดก็ระบายออก เป็นต้น แต่ในความเป็นจริง ผู้คนที่โตแล้วส่วนใหญ่มักไม่สามารถแสดงออกอย่างเป็นไปเองเช่นนั้นได้ เพราะการที่อยู่ในสังคมสมัยใหม่ และการต้องการความยอมรับของสังคม ทำให้ผู้คนไม่สามารถแสดงออกอย่างเป็นไปเอง ทางร่างกายและจิตใจเช่นนี้ได้โดยง่าย ยามหิวจึงอาจไม่ได้กิน ยามง่วงก็ไม่อาจนอน และยามเครียดไม่พอใจก็อาจต้องเก็บงำความรู้สึกเอาไว้ เป็นต้น ชีวิตในสังคมสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยความเครียด ความกดดันจากการแข่งขันกันสูงเช่นนี้เองที่ทำให้ “ตัวตน” ของผู้คนส่วนใหญ่เริ่มสูญเสียกลไกแห่งการปลดปล่อยประสบการณ์อารมณ์ และพลังงานด้านลบออกจากตนเองอย่างมีประสิทธิภาพไปทีละน้อย
ในทางกลับกัน สำหรับคนที่มีจิตสำนึกตื่นตัวในกลไกแบบควอนตัมแล้ว อินทรีย์ของผู้นั้นจะสามารถปลดปล่อยประสบการณ์อารมณ์ และพลังงานด้านลบออกจากตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ จิตใจของผู้นั้นจะหลุดออกจากความกังวลของอดีต และอนาคต ไม่มีความวิตก ความคาดหวัง และความเสียใจ ซึ่งหมายความว่าจิตใจของผู้นั้นเปิดกว้างให้แก่ความมีตัวตนของตน อันเป็นภาวะที่เรียบง่ายที่สุดของจิตใจ การจะส่งเสริมจิตใจให้เข้าสู่สภาวะเปิดกว้างดังกล่าวเช่นนี้ได้ ร่างกายของผู้นั้นต้องผ่อนคลาย และยืดหยุ่นให้ได้ก่อน เพราะกระบวนการของความแก่ชราจะไม่มีที่ตั้งหลักเลยหากปราศจากความเครียด หรือพลังงานด้านลบสะสมอยู่ภายในตัวผู้นั้น
ความจริงแล้ว ประสบการณ์ที่เป็นธรรมชาติและง่ายที่สุดที่ใครๆ ก็ควรมีได้คือ ประสบการณ์ของร่างกายที่เหนืออายุขัย และจิตใจที่ไร้กาลเวลานี่เอง แต่โชคร้ายที่ชีวิตธรรมดาของคนทั่วไปกลับอยู่ห่างจากสภาวะดังกล่าวเสียเหลือเกิน และผู้คนส่วนใหญ่ล้วนถูกจำกัดด้วยเวลา และการมีโอกาสในชีวิตไม่มากครั้งที่จะเข้าไปมีประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่ส่งผลสะเทือนอย่างลึกซึ้งต่อจิตสำนึกของผู้นั้น
มันเป็นเรื่องแปลกแต่จริงที่การปล่อยวางจากความคาดหวังในการปฏิบัติธรรมหรือการเจริญสมาธิภาวนากลับสามารถทำให้คนเราเป็นอิสระได้ เพราะความรู้สึกถึงความเป็นอิสระ หรือความรู้สึกของการได้สลัดภาระต่างๆ ทิ้งไปมันจะผุดขึ้นมาอย่างอัตโนมัติในทันทีที่ผู้นั้นเลิกเกี่ยวโยงกับอัตตาที่จำกัดของตัวเอง
เมื่อนั้นแหละที่ผู้นั้นจะตระหนักได้เองว่า “ตัวตน” ของคนเราทุกคนล้วนเกิดมาจาก “บ่อน้ำ” เดียวกัน อันเป็น “บ่อน้ำ” ที่ไม่อาจหยั่งถึง ซึ่งส่งฟองอากาศของเวลาและอวกาศขึ้นมา ฟองอากาศหนึ่งเป็นห้วงเวลาหนึ่ง ฟองอากาศอื่นอาจเป็นห้วงเวลาอื่นที่ห่างไกลมาก แต่ถึงอย่างไร ตัว “บ่อน้ำ” เองนี้ ก็ยังคงเป็น “จิต” ที่บริสุทธิ์ที่ไม่ว่าจะมีดวงดาว และกาแล็กซีจำนวนมากมายเพียงไร ที่เกิดขึ้นและปะทุขึ้นมาบนผิวบ่อเหมือนฟองน้ำที่เปราะบาง ก็จะไม่มีอะไรหายไปหรือเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
การดำรงอยู่ จึงเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง ใสกระจ่าง ถาวร และเป็นเช่นนั้นเอง (ตถตา) เสมอ มันเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ใจมากเมื่อได้คิดว่า การดำรงอยู่ของตัวตนของคนเราทุกคนในทุกวันนี้ล้วนมาจากต้นกำเนิดอันเดียวกันนี้...ต้นกำเนิดที่กำลังรังสรรค์ ตัวเองใหม่อย่างไม่มีที่สิ้นสุดอยู่ตลอดเวลานี้