ตอนที่ 1
กลางศตวรรษที่ 18 ประเทศจีนภายใต้การปกครองของราชวงศ์เช็ง กำลังตกอยู่ในภาวะตกต่ำเสื่อมถอยจนถึงที่สุด ดุจต้นไม้แห้งที่รอวันโรยรา ประชาชนอดอยากแร้นแค้นไปทั่วทุกหย่อมหญ้า บาดแผลทางสังคมปรากฏให้เห็นทั่วทุกหนแห่ง
ในปี ค.ศ.1860 เกิดภัยแล้วต่อเนื่องติดต่อกัน 2 ปีซ้อน พืชไร่เก็บเกี่ยวไม่ได้ผล ผู้คนจึงประสบกับความเดือดร้อนในการดำรงชีพอย่างแสนสาหัส
ณ หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของมณฑลหูเป่ย หมู่บ้านนี้มีครัวเรือนอาศัยอยู่ราวๆ 110 หลัง ในนั้นมีชาวนาแซ่ซุนผู้หนึ่งร่วมอยู่ด้วย เนื่องจากปีนั้นนายซุนประสบกับปัญหาการทำนาไม่มีเงินพอจ่ายค่าภาษี เขาจึงจำต้องขายที่นาผืนเล็กที่ได้รับมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษไป
ในท่ามกลางความทุกข์ต่างๆ ที่ซุนได้รับมีข่าวดีอยู่เพียงเรื่องเดียวที่ประโลมจิตใจของเขาก็คือ ภรรยาของเขาเพิ่งให้กำเนิดบุตรชายเป็นทายาทสืบสกุลในปีนั้นด้วย ซุนดีใจมากที่ได้ลูกชายเนื่องจากอายุของเขาก็ไม่น้อยแล้ว และภรรยาของเขาก็ยังไม่เคยมีลูกกับเขาเลย เขาตั้งชื่อเล่นของลูกชายว่า ‘ฟู่ฉวน’ (อุดมสมบูรณ์พูนสุข) และชื่อจริงว่า ‘ลู่ถัง’
ซุนได้ออกไปทำงานรับจ้างทำนาให้กับเจ้าของที่ดินใหญ่ของหมู่บ้าน เพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว เพราะเขากลายเป็นชาวนาไร้ที่ดินไปเสียแล้ว ครั้นเมื่อซุนลู่ถังมีอายุได้ 7 ขวบ พ่อแม่ของเขาอยากให้เขาได้มีโอกาสเรียนหนังสือ พวกท่านจึงใช้ชีวิตอย่างกระเหม็ดกระแหม่ยิ่งกว่าเก่า และขยันทำงานเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวโดยไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก
เด็กชายซุนลู่ถังเป็นเด็กฉลาดขยันเรียนและว่านอนสอนง่าย เขารู้ดีว่าพ่อแม่ของเขาต้องเหนื่อยยากลำบากเพียงไหนกว่าจะส่งเขาไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนได้ เขาจึงตั้งใจเรียนอย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้นภายในเวลาเพียง 2 ปีเท่านั้น เขาก็สามารถอ่านหนังสือที่เป็นแบบเรียนมาตรฐานจบได้ตั้งหลายเล่ม มิหนำซ้ำเขายังหัดเขียนหนังสือโดยพู่กันได้อย่างชำนาญด้วย แต่เนื่องจากชีวิตเป็นเรื่องที่ไม่อาจคาดคะเนได้ ครั้นเมื่อซุนลู่ถังอายุเพียง 9 ขวบ บิดาของเขาก็ล้มป่วยเนื่องจากการตรากตรำชีวิตหักโหมทำงานอย่างหนักโดยไม่หยุดพัก ท่านจึงเสียชีวิตไปโดยที่ไม่มีแม้แต่ค่ารักษาพยาบาล ซุนลู่ถังรู้สึกเหมือนหัวใจจะแตกสลายเมื่อเขาได้เห็นมารดาของเขาฟุบร่ำไห้อยู่บนร่างที่ปราศจากลมหายใจแล้วของบิดา
ในขณะนั้นทางบ้านของเขาไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อโลงศพให้พ่อ เจ้าที่ดินใหญ่ที่เป็นเจ้านายจ้างของบิดาเขา ‘มีเมตตา’ จึงอาสาที่จะซื้อโลงเก่าๆ ให้บิดาของเขา โดยมีข้อแม้ว่าตัวซุนลู่ถังจะต้องมาทำงานในไร่แทนบิดาของเขาเป็นเวลา 2 ปีเต็มโดยจะไม่ได้รับค่าจ้างใดๆ ยกเว้นมีข้าวกินเท่านั้น ซุนลู่ถังยินยอมเพราะเขาอยากซื้อโลงศพให้บิดาและก็สงสารมารดาด้วย.. ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ซุนลู่ถัง ทำงานเลี้ยงแกะกว่า 40 ตัวและรับใช้งานจิปาถะในบ้านของเจ้าที่ดินผู้นั้น เขาถูกลูกชายของเจ้าที่ดินใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 2 ปีรังแกเป็นประจำ เช่น แกล้งใส่อุจจาระแกะลงในชามข้าวของเขาหรือแกล้งใส่ร้ายเขาเพื่อให้บิดาลงโทษซุนลู่ถัง เขารู้สึกเจ็บแค้นและอยากจะโต้ตอบกลับไปบ้าง แต่ในอีกด้านหนึ่งซุนลู่ถังก็เป็นห่วงมารดาของเขาไม่อยากจะทำให้ท่านเดือดร้อนด้วย เขาจึงต้องอดทนอดกลั้นเอาไว้มาโดยตลอด
ครั้นเมื่อครบสัญญา 2 ปีแล้วซุนลู่ถังซึ่งมีอายุได้ 11 ปีและถูก ความลำเค็ญของชีวิตเคี่ยวกรำหล่อหลอมจนแข็งแกร่ง และสร้างนิสัยที่ไม่ยอมก้มหัวให้แก่เขาอย่างฝังรากลึก จึงตัดสินใจที่จะไม่ยอมให้ใครมารังแกเขาอีกต่อไปแล้ว คราวนี้เมื่อลูกชายของเจ้าที่ดินใหญ่มารังแกเขาอีกด้วยความเคยชินจึงถูกเขาตีโต้กลับไปบ้าง ลูกชายของเจ้าที่ดินใหญ่สู้ซุนลู่ถังไม่ได้ จึงไปเรียกพรรคพวกที่บ้านมาช่วยกันรุมชกตีซุนลู่ถังจนถึงกับใบหน้าบวม เลือดตกยางออก แต่เขาก็เช็ดเลือดปกปิดรอยแผลเดินกลับไปบ้านโดยไม่ยอมบอกแม่ให้รู้ความจริง แต่ภายในใจของเขาครุ่นคิดอยู่เสมอว่าทำอย่างไรดี ตัวเขาคนเดียวถึงจะต่อสู้กับพวกเด็กเกเรกลุ่มนั้นได้
วันหนึ่ง ซุนลู่ถังไล่ตามฝูงแกะไปจนถึงหมู่บ้านใกล้เคียง เขาได้แลเห็นชายชราผมขาวคนหนึ่งกำลังสอนกังฟู วิธีการเตะต่อยให้แก่เด็กชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขา จึงทำให้เขาได้ความคิดขึ้นมาว่าบางทีถ้าเขาได้เรียนกังฟูแล้ว เขาคงจะสู้เด็กเกเรพวกนั้นได้ วันรุ่งขึ้นเขาจึงตัดสินใจเดินทางไปหาชายชราผู้นั้นที่คนทั่วไปเรียกว่าอาจารย์อู๋ที่หมู่บ้านใกล้เคียง เขาคุกเข่าก้มลง กราบต่อหน้าท่านเป็นการ ‘ไหว้ครู’ เพื่อขอให้ท่านรับเขาเป็นศิษย์อันเป็นประเพณีที่เขาเห็นพวกผู้ใหญ่ทำกันตอนกราบไหว้อาจารย์ สำหรับซุนลู่ถังแล้ว การกระทำอันนี้ของเขานับเป็นครั้งแรกที่ตัวเขาตัดสินใจเลือกทำในสิ่งที่ตัวเขา อยากทำเพื่อตัวของเขาเอง
“เธอจะเรียนกังฟูไปทำไม” ท่านอาจารย์อู๋ถามเขา
“ผมอยากใช้มันต่อยคนที่มารังแกผมฮะ”
“ใครเป็นคนรังแกเธอ”
“พวกเด็กเกเรประจำหมู่บ้าน โดยเฉพาะลูกชายของเจ้าที่ดินใหญ่ฮะ พวกนี้ถือว่าตัวเองมีเงินและอำนาจจึงชอบรังแกผู้อื่นฮะ”
ท่านอาจารย์อู๋สำรวจซุนลู่ถังซึ่งตัวเล็กซูบผอม ใส่เสื้อผ้าที่มีรอยปะขาดตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะถามเขาว่า
“การหัดกังฟูไม่ใช่ของง่ายมีความยากลำบากในการฝึกฝน เธอจะทนต่อการฝึกนี้ได้หรือไม่”
“ได้ฮะ ผมลำบากอย่างนี้ดีกว่าโดนพวกนั้นรังแกทุบตีฮะ”
“แล้วคุณพ่อของเธออนุญาตให้เธอเรียนกังฟูหรือเปล่าล่ะ”
ซุนลู่ถังน้ำตาไหลอาบแก้มก่อนที่จะตอบท่านว่า
“พ่อผมเสียไป 2 ปีแล้วครับ”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้น อาจารย์อู๋จึงไม่ถามอะไรอีก และตัดสินใจรับเขาเป็นศิษย์ทันที
“ตกลง ฉันจะสอนกังฟูให้เธอ แต่เธอควรจะรู้ไว้ด้วยนะว่าการฝึก กังฟูนั้นมิได้เพื่อปราบคนเกเรเท่านั้นหรอกมันจะต้องฝึกฝนในเรื่องคุณธรรมด้วย ต่อไปฉันจะค่อยๆ สอนเธอในเรื่องนี้เอง”
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ซุนลู่ถังได้ตั้งใจฝึกฝนกังฟูกับอาจารย์อู๋อย่างไม่ย่อท้อไม่ว่ายามร้อนจัดหรือหนาวจัด ภายในเวลาเพียง 1 ปีฝีมือของซุนลู่ถังก็ รุดหน้าไปมากโดยเฉพาะวิชามวยภายนอกแบบมวยเหนือที่เรียกว่า ‘ฉางฉวน’ กับวิชากระบี่ ตอนนี้ซุนลู่ถังมีอายุได้ 12 ขวบแล้วร่างกายของเขาเริ่มมีเนื้อมีหนังขึ้น ดวงตามีประกายสีเหล็กแสดงถึงความเป็นคนกระดูกแข็ง เดี๋ยวนี้ไม่มีใครใน หมู่บ้านที่กล้ารังแกเขาอีกต่อไปแล้วด้วย
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ซุนลู่ถังได้ทำงานชดใช้หนี้ค่าโลงศพให้แก่เจ้าที่ดินใหญ่เป็นเวลา 2 ปีเต็มแล้ว ส่วนในปีที่ 3 ที่เขาได้ทำงานจวนจะครบ 1 ปีเต็ม ในวันพรุ่งนี้จึงเป็นปีแรกที่เขาจะได้รับเงินค่าจ้างตลอดทั้งปีเสียที วันนั้น เขาจึงดีใจมากเป็นพิเศษ ในขณะที่เขาต้อนแกะออกไปเลี้ยงที่ทุ่งนั้น เขามัวแต่คิดฝันว่าจะใช้เงินที่จะได้รับในวันรุ่งขึ้นไปซื้ออะไรเป็นของขวัญให้แก่มารดาของเขากับอาจารย์อู๋ดี กว่าเขาจะรู้ตัวตอนต้อนแกะเข้าคอกเขาจึงพบว่ามีแกะ หายไปตัวหนึ่ง ซุนลู่ถังวิ่งกลับไปที่ทุ่งหญ้าอีกครั้งเพื่อตามหาแกะที่หายไป แต่ขณะนั้นเป็นเวลามืดค่ำแล้วเขาจึงไม่สามารถตามหาได้พบ เมื่อเจ้าที่ดินใหญ่ทราบเรื่องเข้าจึงถือโอกาสไม่จ่ายค่าจ้างทั้งปีให้แก่ซุนลู่ถังและไล่เขาออกจากบ้าน
ขณะนั้นใกล้จะปีใหม่แล้ว บ้านของซุนลู่ถังไม่มีทั้งเงินและข้าวสารจะกรอกหม้อ ซุนลู่ถังตกอยู่ในสภาพคนสิ้นหวังอย่างสิ้นเชิง นี่เขากำลังทำให้แม่ของเขาที่เริ่มชราแล้วต้องอดตายหรือนี่ หรือตัวเขาจะต้องกลายเป็นโจรเพื่อความอยู่รอดดังคำสบประมาทของเพื่อนบ้านที่รู้ว่าเขากำลังหัดกังฟูอยู่ด้วย ความกลัดกลุ้มที่คิดไม่ตกซุนลู่ถังจึงเดินเข้าไปในป่าช้าหลังหมู่บ้าน เขาถอดผ้ารัดเอวของเขาออกมาคล้องกับกิ่งของต้นไม้ใหญ่เป็นปมแล้วยื่นคอแขวน เพื่อผูกคอตายหนีโลก ในตอนนั้นโลกเบื้องหน้าของเขามืดมิดเขารู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก เสียงที่จะเปล่งอำลามารดาของเขาก็ไม่สามารถเปล่งออกมาได้..
ครั้นซุนลู่ถังลืมตาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เขาได้พบว่าร่างของเขากำลังนอนอยู่ในอ้อมอกของชายคนหนึ่ง ขณะที่มีชายอีกคนหนึ่งกำลังกรอกสุราใส่ปากของเขาเพื่อให้เกิดความอบอุ่นแก่ร่างกาย ชาย 2 คนนี้เดินผ่านมาทางนี้ เมื่อครู่โดยบังเอิญจึงได้พบเหตุการณ์ที่ซุนลู่ถังกำลังจะผูกคอตายพวกเขาจึงรีบตรงเข้าไปช่วยด้วยความสงสารที่แลเห็นเด็กชายอายุ 10 กว่าขวบคิดสั้น จนถึงกับจะฆ่าตัวตาย ภายหลังจากที่ได้ซักถามเรื่องราวต่างๆ จากซุนลู่ถังแล้ว ชาย 2 คนนั้นได้พาซุนลู่ถังกลับไปบ้านพร้อมกับให้เงินจำนวนหนึ่งแก่ แม่ลูกคู่นี้เพื่อประทังชีวิตก่อนที่จะอำลาจากไป ก่อนจากกันชาย 2 คนนั้น ได้กล่าวให้กำลังใจซุนลู่ถังว่าจงอย่าลืมปณิธานในชีวิต ถ้าหากเขาคิดจะเอาดีในการฝึกวิทยายุทธ์ก็จงหมั่นฝึกฝนวิชาเพื่อที่ในอนาคตจะได้เติบใหญ่ไปเป็น ‘จอมยุทธ์’ ของวงการยุทธจักรได้ ซุนลู่ถังพยายามถามชื่อของชาย 2 คนนี้ แต่พวกเขาไม่ยอมบอกเพราะไม่ต้องการให้ซุนลู่ถังถือเป็นบุญคุณ
ภายหลังจากที่ซุนลู่ถังรอดตายจากการคิดสั้นจะฆ่าตัวตายแล้ว เขาก็ได้คิดและตัดสินใจจะไปทำงานรับจ้างที่ไร่หรือเป็นคนใช้ในบ้านของผู้มีฐานะในหมู่บ้านอีกครั้ง แต่มารดาของเขากลับเสนอเขาให้ไปตายเอาดาบหน้า โดยอพยพย้ายไปหากินที่เมืองเป่าติ้งซึ่งมีญาติที่เป็นลุงอาศัยอยู่ที่นั่น ก่อนเดินทางไปเมืองเป่าติ้ง ซุนลู่ถังได้ไปล่ำลาอาจารย์อู๋ ท่านได้อบรมเขาว่า แม้ไปอยู่ที่ไหนก็ตามก็จงอย่าละทิ้งการฝึกกังฟู สักวันหนึ่งสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเธอ นอกจากนี้ในเมืองที่เธอจะไปอยู่นี้ ก็มีผู้เยี่ยมยุทธ์และผู้มีความรู้สูงอยู่เป็นจำนวนมาก ขอให้เธอจงถ่อมตัวเข้าไว้เพื่อขอเรียนรู้วิชาจากท่านเหล่านี้
ครั้นเมื่อซุนลู่ถังและมารดาเดินทางมาถึงเมืองเป่าติ้ง ลุงของเขาได้แนะนำงานให้เขาไปเป็นพนักงานในร้านขายพู่กันแห่งหนึ่ง ส่วนมารดาของเขาก็ทำอาชีพรับจ้างเย็บปักถักร้อย โดย 2 แม่ลูกเช่าห้องเล็กๆ อยู่ใกล้ๆ กับลุง ผู้เป็นญาติ
ร้านขายพู่กันที่ซุนลู่ถังไปทำงานนั้นเป็นร้านเล็กที่มีเจ้าของร้าน ผัวเมียคู่หนึ่งดำเนินกิจการแค่ 2 คนเท่านั้น สามีอายุราวๆ 35 ปี ส่วนภรรยาอายุ 20 ปีเศษและสวยกว่าหญิงชาวบ้านทั่วไป ขณะนั้นสามีภรรยาคู่นี้กำลัง ต้องการคนมาช่วยงานอยู่พอดี พอเห็นหน่วยก้านของซุนลู่ถังเป็นที่น่าพอใจ จึงรับเขามาเป็นคนงานช่วยเจ้าของร้านทำพู่กัน
ทุกๆ วัน ซุนลู่ถังจะมาถึงร้านแต่เช้าตรู่ ภายหลังจากที่เขาได้ทำความสะอาดกวาดร้านเสร็จแล้วยังมีเวลาอีกชั่วโมงกว่าก่อนที่ร้านจะเปิด เขาจึงไปฝึกหัดมวยที่บริเวณสวนหลังร้าน เช้าวันหนึ่งเจ้าของร้านเห็นซุนลู่ถังกำลังฝึกมวยอยู่โดยบังเอิญจึงเตือนเขาว่าที่เมืองนี้มีแก๊งอันธพาลซึ่งมีหัวหน้าแก๊งชื่อหวังซานฉายาไอ้ตาเดียว เพราะฉะนั้นจึงขอให้เขาระมัดระวังตัวอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับคนพวกนี้เป็นอันขาด ซุนลู่ถังถามเจ้าของร้านว่าเขาได้ยินมาว่าเมืองนี้มีจอมยุทธ์ผู้เก่งกาจหลายคนไม่ใช่หรือ หรือว่าสิ่งที่ได้ยินมานั้นไม่จริง เจ้าของร้านตอบว่าในเมืองนี้มีจอมยุทธ์ท่านหนึ่งที่เปิดสำนักคุ้มกันภัยอยู่ ชื่อท่าน ลี้ขุ่ยหยวน ท่านผู้นี้มีวิทยายุทธ์สูงและรักความเป็นธรรมเป็นอย่างยิ่ง ซุนลู่ถังถามว่าเจ้าของร้านรู้จักจอมยุทธ์ลี้ท่านนี้หรือไม่ เจ้าของร้านตอบว่ารู้จักและสนิทสนมกันดีเพราะอาจารย์ลี้นอกจากจะมีฝีมือสูงแล้วท่านยังเก่งในการเขียนพู่กันชนิดไม่เป็นรองใครด้วย ดังนั้นถ้าหากซุนลู่ถังอยากจะเรียนวิทยายุทธ์ขนานแท้แล้วก็น่าจะไปกราบกรานอาจารย์ลี้ขอให้ท่านรับเป็นศิษย์เสีย
ซุนลู่ถังรีบอ้อนวอนเจ้าของร้านขอให้ท่านเขียนใบแนะนำตัวให้เขาด้วย เจ้าของร้านได้บอกกับซุนลู่ถังว่าอาจารย์ลี้มักอยู่ไม่ค่อยติดที่เนื่องจากท่านต้องออกไปคุ้มกันสินค้าหรือบุคคลสำคัญที่เดินทางไปที่ต่างๆ อย่างไรก็ตาม ถ้าท่านกลับมาเมืองนี้แล้วท่านจะต้องแวะมาที่ร้านพู่กันของเขาเสมอ เมื่อถึงตอนนั้นถ้าหากซุนลู่ถังกับอาจารย์ลี้มีวาสนาที่จะได้เป็นศิษย์อาจารย์กันก็จะ ช่วยพูดกับอาจารย์ลี้ให้ แต่ตามปกติอาจารย์ลี้ไม่ค่อยรับลูกศิษย์ง่ายๆหรอก
ตอนที่ 2
หลังจากที่ซุนลู่ถังทำงานที่ร้านขายพู่กันแห่งนี้ได้ไม่นานนักก็มีเหตุการณ์เกิดขึ้น กล่าวคือ พวกสมุนของแก๊งหวังซานเจ้าตาเดียวได้โผล่มาที่ร้านขายพู่กันนี้เพื่อที่จะ ‘เชิญ’ ตัวภรรยาสาวสวยของเจ้าของร้านไป ‘รับรอง’ เจ้านาย ของมันซึ่งกำลังยืนรออยู่ที่หน้าร้าน ซุนลู่ถังอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยเขารู้สึกโกรธมาก ครั้นจะจัดการกับพวกลูกสมุนที่อยู่ในร้านตอนนี้เขาก็เกรงว่าจะสร้างความเดือดร้อนให้แก่เจ้าของร้าน เขาจึงขว้างหินฝนหมึกเล็งไปที่หมวกของเจ้าหวังซานตาเดียวที่ยืนอยู่หน้าร้านจนหมวกกระเด็นหลุดจากศีรษะไป ในขณะที่เจ้าหวังซานและลูกสมุนของมันกำลังผงะด้วยความตกใจอยู่นั้น ซุนลู่ถังก็กระโดดข้ามโต๊ะขายของวิ่งเข้ามายืนที่กลางร้านพร้อมกับร้องท้าเจ้าหวังซานว่า
“หวังซานนายก่อเรื่องนี้ขึ้นมานายก็ต้องรับผิดชอบ แน่จริงนายมาประลองกับเราตัวต่อตัวสิ”
เจ้าหวังซานตาเดียวโกรธมากที่เห็นเด็กอายุ 10 กว่าขวบอย่างซุนลู่ถัง บังอาจมาท้าทายเขาต่อหน้าผู้คนเป็นจำนวนมากที่กำลังมุงดูเหตุการณ์อยู่ ด้วยความตื่นเต้น เจ้าของร้านรีบเข้าไปขวางหน้าหวังซานพร้อมกับเอ่ยปากขอร้องไม่ให้มันลงมือกับซุนลู่ถัง แต่มันกลับผลักเจ้าของร้านกระเด็นไปแล้ว เตรียมที่จะกระโจนเข้ามาขย้ำซุนลู่ถังให้แหลกคามือ ในขณะนั้นเองมีชายผู้หนึ่งกำลังวิ่งมาจากที่ไกลด้วยความเร็วสูงตรงมายังที่นี่พร้อมกับร้องตะโกน ด้วยเสียงอันดังว่า
“ช้าก่อนเจ้าหวังซาน แกลืมเรื่องที่ฉันสั่งสอนแกและลูกน้องไปแล้วหรือ”
ชายคนนั้นรูปร่างสูงใหญ่อายุราวๆ 40 ปี ใบหน้าสี่เหลี่ยม หน้าผากกว้าง นัยน์ตาคมเข้ม มีประกายแวววาวบอกว่าเป็นผู้มีฝีมือและรักความยุติธรรม เมื่อเห็นใบหน้าของชายผู้นั้นซุนลู่ถังรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งเพราะ เขามั่นใจว่าชายคนนี้จะต้องเป็นอาจารย์ลี้อย่างแน่นอน
พอเจ้าหวังซานตาเดียวและพวกลูกน้องแลเห็นอาจารย์ลี้เท่านั้น พวกมันก็รีบก้มศีรษะคำนับเอ่ยปากขอโทษขอโพยแล้วรีบเผ่นหนีไปจากที่นั้นทันที เจ้าของร้านพู่กันรีบตรงเข้ามาขอบคุณอาจารย์ลี้พร้อมกับเชิญอาจารย์ลี้ให้เข้าไปนั่งในร้านแล้วมอบพู่กันที่ทำจากขนพังพอนราคาแพงมากให้ท่านชม อาจารย์ลี้ชมพู่กันขนพังพอนแล้วเอ่ยปากชมเชยแล้วรับปากว่าจะแนะนำลูกค้ามีเงินมาซื้อพู่กันนี้ให้ เจ้าของร้านสั่งให้ซุนลู่ถังไปนำกระดาษกับหมึกดำมาให้อาจารย์ลี้ทดลองเขียน อาจารย์ลี้บอกกับเจ้าของร้านว่าถ้าจะให้เขาเขียนเขาขอใช้พู่กันขนสุนัขป่าอันก่อนที่เจ้าของร้านเคยให้เขาลองเขียน จะดีกว่า หลังจากได้พู่กันแท่งนั้นแล้วอาจารย์ลี้ได้เขียนบทกลอนบทหนึ่ง ของหลี่ไป๋ (ค.ศ. 701-762) มหากวีแห่งราชวงศ์ถังด้วยลายมือที่สวยงามและ มีพลังยิ่งกว่า
“เธอไม่เห็นรึ?
สายน้ำของแม่น้ำเหลืองที่ไหลมาจากฟากฟ้า
ถาโถมลงสู่ทะเล แล้วไม่มีวันหวนกลับ
เธอไม่เห็นรึ ?
เทพธิดาผู้พำนักอยู่บนปราสาทสูง
ที่เฝ้ามองกระจก
แล้วก็เศร้ารันทดกับความขาวของเส้นผมตนเอง
ยามเช้าที่สดใสดุจหญ้าเขียวขจี แต่ยามพลบก็ขาวโพลนดุจหิมะ”
เมื่ออาจารย์ลี้เขียนกลอนข้างต้นจบลงในอึดใจเดียว ท่านก็ถอนใจเฮือกใหญ่พร้อมกับวางพู่กันลง เจ้าของร้านพู่กันเอ่ยถามอาจารย์ลี้ว่าท่านถอนหายใจทำไม
อาจารย์ลี้ตอบว่า
“ผมระบายความอึดอัดคับข้องใจแทนคนสมัยก่อนออกมาด้วยกลอนบทนี้ของหลี่ไป๋ครับ เพราะยามใดที่ผมนึกถึงชีวิตของท่านหลี่ไป๋แล้ว ผมอดรู้สึกคับแค้นใจแทนท่านไม่ได้ ท่านหลี่ไป๋ไม่เพียงแต่เป็นมหากวีเท่านั้น ท่านยังเป็นจอมยุทธ์ผู้มีฝีมือสูงยิ่งและมีความห่วงใยบ้านเมืองเป็นอย่างมากด้วย แต่ท่านกลับไม่ได้มีโอกาสใช้ความสามารถและศักยภาพของท่านในการพัฒนาบ้านเมืองเลยท่านจึงต้องจมปลักอยู่กับสุราและเขียนกลอนระบายออกมาตลอดชั่วชีวิตของท่าน ผมรู้สึกหดหู่ใจจริงๆ ครับที่ตั้งแต่ในอดีตกาลแล้ว ที่ไม่ทราบว่ามีผู้กล้าจำนวนมากมายขนาดไหนที่ไม่อาจใช้ชีวิตบรรลุปณิธานของพวกท่านได้”
พอกล่าวเสร็จอาจารย์ลี้ก็ลุกขึ้นยืนเตรียมจะกล่าวอำลา ซุนลู่ถังเหลือบสายตาไปมองเจ้าของร้านพู่กันแล้วเห็นเขายังไม่มีท่าทีว่าจะเอ่ยปากฝากฝังตัวเขาให้เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ลี้ ซุนลู่ถังจึงรวบรวมความกล้าตัดสินใจพูดกับอาจารย์ลี้ด้วยตัวเองว่า
“อาจารย์ลี้ครับ ผมอยากกราบกรานท่านเพื่อขอเป็นศิษย์ร่ำเรียนวิทยายุทธ์จากท่านอาจารย์ครับ”
เมื่อได้ยินซุนลู่ถังกล่าวเช่นนั้น อาจารย์ลี้จึงสำรวจซุนลู่ถังอย่างละเอียดถี่ถ้วนเป็นครั้งแรก เจ้าของร้านพู่กันเห็นได้จังหวะจึงกล่าวสนับสนุนว่า เด็กคนนี้เป็นเด็กฉลาด นิสัยดี มีความตั้งใจจริง ขอให้อาจารย์ลี้รับเขาเป็นศิษย์ด้วยเถิด อาจารย์ลี้ตบบ่าของซุนลู่ถังเบาๆ พร้อมกับบอกเขาว่า
“ถ้าเธออยากเรียนวิทยายุทธ์ก็จงมาที่สำนักคุ้มกันภัยของฉันในยามที่เธอว่างฉันจะสอนให้ แต่การที่จะให้ฉันรับเธอเป็นศิษย์นั้นต้องขอเวลาให้ฉันไตร่ตรองสักระยะหนึ่งก่อนนะ เพราะตัวฉันเองก็ยังไม่ได้เป็นบุคคลตัวอย่างที่ควรจะยึดถือเป็นเยี่ยงอย่างเท่าไหร่นักหรอก”
ร้านขายพู่กันที่ซุนลู่ถังทำงานอยู่นั้นได้กลายเป็นโรงเรียนชั้นเยี่ยมสำหรับซุนลู่ถังไปโดยปริยาย เพราะลูกค้าต่างๆ ที่มาซื้อพู่กันและหมึกดำที่ร้านนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ทรงความรู้ทั้งสิ้น บางคนก็เป็นครูสอนหนังสือ แต่เดิมทีฝีมือการทำพู่กันของเจ้าของร้านก็ขึ้นชื่ออยู่แล้วเมื่อได้ผนวกกับการต้อนรับขับสู้ ดูแลเอาใจใส่ลูกค้าเป็นอย่างดีของซุนลู่ถังเข้าไปด้วยก็เลยยิ่งทำให้มีลูกค้ามาอุดหนุนที่ร้านมากขึ้นกว่าแต่ก่อน สร้างความยินดีให้แก่เจ้าของร้านเป็น อย่างมาก ซุนลู่ถังจึงได้รับการปฏิบัติเสมือนหนึ่งเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของเจ้าของร้านเลยทีเดียว เมื่อซุนลู่ถังได้รับความไว้วางใจทั้งจากเจ้าของร้านและลูกค้าเช่นนี้แล้ว โอกาสในการร่ำเรียนหนังสือของเขาก็ตามมา เพราะเมื่อซุนลู่ถังขอร้องลูกค้าหลายท่านที่เป็นครูสอนหนังสือให้ช่วยสอนอักษรจีนที่ตัวเขาอ่านไม่ออกให้ พวกท่านก็เต็มใจสอนและยิ่งเมื่อเห็นซุนลู่ถังมีความกระตือรือร้นในการเล่าเรียนหนังสือแล้ว บางท่านถึงกับให้ยืมหนังสือคลาสสิกขั้นสูงแก่ซุนลู่ถังอ่านทั้งยังช่วยอธิบายความหมายให้ด้วย
ในบรรดาประวัติเรื่องราวของวีรบุรุษผู้กล้าในอดีตที่ซุนลู่ถังได้อ่านจากหนังสือเหล่านั้น เขาชื่นชมในตัวท่านขุนพลงักฮุย (ค.ศ. 1103-1141) มากที่สุด เพราะชีวิตในวัยเยาว์ของท่านขุนพลงักฮุยก็คล้ายๆ กับของตัวเขา คือกำพร้าบิดาตั้งแต่เล็กและถูกมารดาพาไปอาศัยอยู่ในเมืองอื่น แต่ท่านงักฮุยก็ยังบากบั่นเล่าเรียนหนังสือและหมั่นฝึกฝนวิชาฝีมือจนเก่งฉกาจทั้งบุ๋นและบู๊ ในที่สุดท่านจึงประสบความก้าวหน้าทางราชการขนาดกลายเป็นยอดขุนพลปกป้องชาติบ้านเมืองให้รอดพ้นจากการรุกรานของพวกต่างชาติได้ ซุนลู่ถังจึงตั้งปณิธานในชีวิตให้กับตัวเขาเองว่า ถ้าจะใช้ชีวิตอย่างเป็นคนที่ สมบูรณ์แล้วเขาจะต้องเป็นอย่างท่านขุนพลงักฮุยให้จงได้
คืนนั้นดึกมากแล้วแต่ซุนลู่ถังก็ยังหัดคัดอักษรจีนอย่างคร่ำเคร่งเขาไม่มีเงินซื้อหมึกเขาจึงใช้พู่กันจุ่มกับน้ำในถ้วยหัดเขียนอักษรจีนบนก้นกระทะทองแดงพร้อมกับครุ่นคิดทบทวนความหมายของคำแต่ละคำตามไปด้วย
“ลูกรัก เข้านอนได้แล้วเถอะลูก”
“ยังครับแม่ ผมอยากหัดคัดหนังสือไปอีกสักหน่อยครับ เพราะพรุ่งนี้ผมต้องเอาหนังสือที่ยืมมาไปคืนเจ้าของแล้ว”
ซุนลู่ถังได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนบ่ายที่เจ้าหวังซานตาเดียว และสมุนของมันถูกอาจารย์ลี้ไล่ตะเพิดไปพร้อมกับเอ่ยปากชื่นชมอาจารย์ลี้ไม่ขาดปากว่าเก่งทั้งบู๊และบุ๋น และตัวเขาจะต้องพยายามทำให้อาจารย์ลี้รับเขาเป็นศิษย์ให้ได้
2 เดือนต่อมาในช่วงต้นฤดูร้อนของเช้าตรู่วันหนึ่งก่อนที่ร้านขายพู่กันจะเปิดกิจการ อาจารย์ลี้ขุ่ยหยวนได้แวะมาที่ร้านแต่เช้า
“อรุณสวัสดิ์ครับท่านอาจารย์ มีธุระอะไรจะให้ผมรับใช้หรือเปล่าครับ” ซุนลู่ถังเอ่ยปากถามท่าน
เธอช่วยเรียกเจ้าของร้านให้ฉันที ฉันมีธุระกับเถ้าแก่ของเธอนิดหน่อย”
เรื่องมีอยู่ว่า อาจารย์ลี้ได้รับการขอร้องจากเพื่อนที่ทำสำนักคุ้มกันภัยที่เมืองเทียนสินให้ไปทำธุระให้ที่มณฑลซานซีในอีก 3 วันข้างหน้าและเมื่อเสร็จงานนี้แล้วท่านก็ตั้งใจว่าจะเดินทางไปเยี่ยมเยียนมิตรสหายหลายคน กว่าจะกลับมาที่นี่อีกก็คงเป็น 3-4 เดือนข้างหน้า พอดีท่านนึกขึ้นได้ว่าเมื่อ 2 เดือนที่แล้วท่านเคยรับปากกับเจ้าของร้านพู่กันว่าจะแนะนำลูกค้าชั้นดีมาซื้อพู่กันขนพังพอนราคาแพงอันนั้นให้จึงมาที่นี่แต่เช้า ‘ลูกค้าชั้นดี’ คนนั้นคือ ท่านจางฉวนเหยินคหบดีผู้มั่งคั่งและเป็นปัญญาชนผู้มีความรู้ขนาดเคยสอบเป็นบัณฑิตประจำสำนักราชวังของฮ่องเต้ได้ แต่ท่านกลับปฎิเสธที่จะรับ ราชการรับใช้พวกแมนจูจึงพำนักอยู่ที่บ้านศึกษาตำรับตำราคบหากับพวกจอมยุทธ์เป็นงานอดิเรก
ซุนลู่ถังเดินถือหีบพู่กันติดตามเจ้าของร้านและอาจารย์ลี้ไปที่ คฤหาสน์ของท่านจางในตอนเช้าวันนั้นเอง ในขณะที่พวกผู้ใหญ่ทั้งสามกำลังนั่งคุยกันอย่างถูกคอในห้องหนังสืออยู่นั้น ซุนลู่ถังได้รับคำสั่งจากเจ้าของร้านให้ออกไปเดินเล่นและรออยู่ในสวนของคฤหาสน์ซึงมีพื้นที่กว้างขวางประกอบด้วยบ่อน้ำ ดอกไม้ ต้นไม้ และภูเขาจำลอง ด้วยความตื่นตาตื่นใจที่เพิ่งได้เห็นสวนที่สวยงามเช่นนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตซุนลู่ถังจึงเดินซอกแซกเที่ยวชมทุกแง่ทุกมุมของสวน
จนกระทั่งมาใกล้ห้องหนังสือเล็กๆ อีกห้องหนึ่งและได้ยินเสียงเด็กชายคนหนึ่งกำลังท่องหนังสือออกมาด้วยเสียงอันดัง ซุนลู่ถังจึงชะโงกหน้าเข้าไปดู จากหน้าต่างซุนลู่ถังเห็นเด็กชายผู้นั้นกำลังท่องหนังสือของจื่อชี่ด้วยปากเปล่า จนถึงตอนหนึ่งที่เด็กชายคนนั้นที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาจำไม่ได้ ซุนลู่ถังจึงเอ่ยปากต่อข้อความนั้นให้ เด็กชายคนนั้นกำลังง่วนกับการท่องหนังสือจึงรับ คำแนะของซุนลู่ถังมาท่องต่อโดยยังไม่ทันฉุกใจ ครั้นพอนึกได้หันมาดูว่าใครเป็นผู้บอกเขาก็ปรากฎว่าซุนลู่ถังแอบไปซ่อนที่หลังต้นไม้ใหญ่ไม่ให้เขาเห็น เด็กชายคนนั้นบังเกิดความสงสัยจึงแอบย่องมาที่ต้นไม้ใหญ่แล้วเอามือทั้ง 2 ข้างปิดตาซุนลู่ถังจากเบื้องหลังด้วยความซุกซน โดยสัญชาตญาณซุนลู่ถัง ก้มตัวลงต่ำจับเด็กชายคนนั้นทุ่มลงกับพื้นเพราะเข้าใจผิดคิดว่าเขาถูกคนลอบทำร้าย ครั้นเมื่อได้เห็นถนัดตาว่าคนที่ถูกเขาทุ่มลงไปนอนกับพื้นนั้นคือเด็กชายที่นั่งท่องหนังสืออยู่ในห้องเมื่อครู่เองเขาจึงเกิดความร้อนใจ
“คุณชายครับเจ็บไหมครับ ผมต้องขอโทษด้วยครับ ผมไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายคุณชายเลยครับ”
เด็กชายไม่ได้มีใบหน้าโกรธเคืองเลย เขาปัดฝุ่นที่ติดตามเสื้อผ้าพร้อมกับยิ้มให้ซุนลู่ถัง
“พี่เก่งจริงๆ นะครับ หนังสือก็อ่านได้คล่อง กังฟูก็เป็น”
ซุนลู่ถังเห็นความใจกว้างของเด็กชายคนนี้ ซึ่งคงเป็นลูกชายของเถ้าแก่บ้านนี้ ค่อยรู้สึกสบายใจ พร้อมกันนั้นเขาก็อดเปรียบเทียบลูกชายเถ้าแก่คนนี้กับลูกชายเจ้าที่ดินใหญ่ที่บ้านเกิดของเขาไม่ได้ ถึงเป็นลูกคนรวยเหมือนกันแต่ทำไมนิสัยถึงแตกต่างกันมากขนาดนี้
เด็กชายแนะนำตัวเองว่าชื่อ จางเจ้าไซ ซุนลู่ถังจึงแนะนำตัวเองว่าชื่ออะไรและทำงานอยู่ที่ไหน เด็กชายขอเป็นเพื่อนกับซุนลู่ถังและถือโอกาสขอร้องให้ซุนลู่ถังช่วยคัดหนังสือทำการบ้านแทนเขาด้วย ซุนลู่ถังเขียนหนังสือให้จางเจ้าไซหน้าหนึ่งด้วยลายมือที่บรรจงงดงาม จางเจ้าไซเห็นแล้วชอบใจมากจึงขอร้องให้ซุนลู่ถังคัดให้อีกหลายๆ แผ่น แต่ซุนลู่ถังปฏิเสธ จางเจ้าไซพยายามอ้อนวอนจนซุนลู่ถังใจอ่อน รับปากจะคัดหนังสือทำการบ้านแทนให้ แต่เขามีข้อแม้ว่าจางเจ้าไซจะต้องไปช่วยพูดให้บิดาของเขาซื้อพู่กันขนพังพองด้ามนั้นของเจ้าของร้าน จางเจ้าไซรับปาก ขณะที่ซุนลู่ถังกำลังคัดหนังสืออยู่นั้นจางเจ้าเสียนน้องสาวของจางเจ้าไซเข้ามาพอดี จางเจ้าไซจึงขอให้จางเจ้าเสียนมาช่วยฝนหมึกให้ซุนลู่ถัง พอซุนลู่ถังคัดหนังสือเสร็จไป 3 แผ่น จางเจ้าไซก็รีบเอากระดาษทั้ง 3 แผ่นนั้นไปอวดบิดาหวังจะได้รับคำชมเชย เจ้าของร้านพู่กันกับอาจารย์ลี้เห็นลายมือที่เขียนในกระดาษยังเอ่ยปากชมจางเจ้าไซว่าลายมือเยี่ยมสมแล้วที่เป็นบุตรของจางฉวนเหยินผู้มีชื่อเสียง แต่ตัวท่านจางเองกลับมีสีหน้าโกรธจัด เพราะท่านดูออกว่าบุตรชายของท่านไม่มีความสามารถในการเขียนขนาดนั้น จึงคาดคั้นให้จางเจ้าไซเล่าความจริงทั้งหมดออกมา
ตอนที่ท่านจาง อาจารย์ลี้ และเจ้าของร้านพู่กันไปถึงที่ห้องเขียนหนังสือของจางเจ้าไซนั้น ซุนลู่ถังกำลังคัดหนังสืออยู่พอดี เจ้าของร้านสั่งให้ซุนลู่ถังขอโทษท่านจางเดี๋ยวนี้ ซุนลู่ถังรีบกราบขอโทษท่านจาง แต่ท่านจางสั่งห้าม ท่านพูดกับซุนลู่ถังด้วยความเมตตาว่า เธอแม้ยังเด็กแต่เหมือนกับเพชรที่ยังไม่ถูกเจียระไน ฉันชอบเธอที่แม้จะยากจนแต่ก็ไม่ย่อท้อต่อการศึกษาหาก ถ้าเธออยากจะมาเรียนหนังสือกับฉันในตอนที่เธอว่างฉันก็ยินดีที่จะสอนให้เธอ
ตัวอาจารย์ลี้เองได้เห็นลายมือของซุนลู่ถังซึ่งมีรูปแบบคล้ายคลึงกับของตนเพราะซุนลู่ถังแอบลอบจำมาฝึกเขียนเองแล้วก็มีความรู้สึกชื่นชมในตัวซุนลู่ถังมากจนบอกกับเขาว่า ท่านยินดีรับเขาเป็นศิษย์แล้ว ซุนลู่ถังจึงได้ทำพิธีกราบกราน ‘ไหว้ครู’ เป็นศิษย์ของอาจารย์ลี้ขุ่ยหยวนที่ห้องหนังสือของท่านจางในวันนั้นเอง
ตอนที่ 3
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ซุนลุ่ถังก็ได้มีโอกาสมาเยือนคฤหาสน์ของท่านจางและร่วมเรียนหนังสือกับจางเจ้าไซและจางเจ้าเสียน ท่านจางเอ็นดูซุนลู่ถังเหมือนกับลูกหลานและพยายามถ่ายทอดวิชาความรู้อันกว้างขวางที่ท่านมีให้แก่ตัวเขา โดยฝากความหวังเอาไว้ว่าซุนลู่ถังจะสามารถสานต่อปณิธานของท่านในการทำประโยชน์เพื่อประชาชน
เวลาผ่านไปอีก 3 เดือน ขณะนั้นเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว คืนนั้นขณะที่ซุนลู่ถังกำลังหัดคัดหนังสืออยู่นั้นเขาก็ได้ยินผู้คนร้องตะโกนโหวกเหวกว่าเกิดไฟไหม้ขึ้นที่ร้านขายพู่กัน ซุนลู่ถังเกิดลางสังหรณ์ว่ากำลังมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับเจ้าของร้านและภรรยาโดยฝีมือของพวกเจ้าหวังซานตาเดียวเป็นแน่เขาจึงรีบวิ่งไปที่ร้านทันที แต่เขามาช้าไปนิดเดียว เมื่อเขาไปถึง ปรากฎว่าร้านขายพู่กันถูกไฟไหม้หมดแล้ว เขาพบร่างของเจ้าของร้านเต็มไปด้วยเลือด นอนอยู่กลางถนนแต่ยังมีลมหายใจอยู่
“เถ้าแก่ครับ คุณผู้หญิงอยู่ที่ไหนครับ”
“ไอ้หวังซานตาเดียวมันฉุดเธอไป ลู่ถังฉันคงไม่มีโอกาสได้เห็นความสำเร็จในชีวิตของเธอแล้วนะ ขอให้เธอหมั่นตั้งใจฝึกฝนวิทยายุทธ์จากอาจารย์ลี้ให้ดีล่ะ ลาก่อน” เจ้าของร้านพู่กันผู้มีน้ำใจสิ้นลมไปแล้ว ซุนลู่ถังเก็บความปวดร้าวเอาไว้ในใจ เขารีบวิ่งไปทางประตูเมืองทิศใต้เพื่อไปช่วยภรรยาของเจ้าของร้านพู่กันที่ถูกพวกเจ้าหวังซานฉุดไป เขาวิ่งฝ่าความมืดออกจาก เมืองไปได้ไม่กี่ลี้ก็เห็นแสงจากคบไฟหลายดวงอยู่เบื้องหน้าบริเวณที่ใช้เป็นยุ้งฉางเก็บข้าวเปลือก ภรรยาของเถ้าแก่คงถูกพวกเจ้าหวังซานจับมาที่นี่ เขานึกเช่นนั้นอยู่ในใจ ขณะที่ค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้บริเวณนั้นและแอบปีนขึ้นไปดูความเคลื่อนไหวของพวกมันจากยอดไม้ ขณะนั้นพวกมันราวๆ สิบกว่า คนกำลังนั่งพักเหนื่อยกันอยู่ ข้างๆ พวกมันมีถุงกระสอบใบใหญ่อยู่ถุงหนึ่งมีของอยู่ข้างในและดิ้นได้ ภรรยาเถ้าแก่ถูกพวกมันยัดใส่ถุงกระสอบใบนี้และช่วยกันแบกมาจนถึงที่นี่ สมุนคนหนึ่งของเจ้าหวังซานได้เสนอต่อลูกพี่ของมันว่า
“นังนี่ฤทธิ์ร้ายนักกว่าพวกเราจะแบกนางไปถึงเมืองเทียนสินคงกินแรงน่าดู ผมว่าลูกพี่หาความสุขจากนางที่นี่ดีกว่าเสร็จแล้วเหลือให้พวกผมบ้างก่อนที่จะเอานางไปขายซ่อง”
เจ้าหวังซานเห็นพ้องด้วยจึงสั่งให้ลูกน้องของมันพาตัวนางเข้าไปในยุ้งฉาง เหตุที่พวกนี้กล้ากำเริบถึงขนาดฆ่าเจ้าของร้านและฉุดภรรยาของเขาไปก็เพราะพวกนี้รู้ว่าอาจารย์ลี้ขุ่ยหยวนเดินทางไปต่างจังหวัดเป็นเวลาหลายเดือนนั่นเอง
ซุนลู่ถังเห็นเช่นนั้นจึงรีบลงจากต้นไม้แล้วแอบย่องเข้าไปที่หน้าต่างของยุ้งฉาง ภาพที่เขาเห็นก็คือเจ้าหวังซานกำลังฉีกเสื้อผ้าของภรรยาเถ้าแก่ เตรียมจะข่มขืนนาง เขาจึงหยิบก้อนหินก้อนหนึ่งขว้างไปที่ศีรษะของมันแต่ไม่โดนแค่เฉียดใบหูของมันไปเท่านั้น ขณะที่เจ้าหวังซานหันหน้ามาดูมันก็โดน ก้อนหินอีกก้อนหนึ่งที่ซุนลู่ถังขว้างติดตามมาที่หน้าผากอย่างจังจนมันร้องโอ๊ย และรีบวิ่งเข้าใส่ซุนลู่ถังด้วยความโกรธแค้น ขณะที่ซุนลู่ถังเตรียมจะคว้าก้อนหินอีกก้อนมาปาใส่มันอีกนั้น เจ้าหวังซานก็เข้ามาประชิดตัวเขาและเตะใส่เขาจนล้มกลิ้ง ซุนลู่ถังลุกขึ้นมาและใช้วิชามวยที่เรียนมาจากอาจารย์อู๋บุกตอบโต้เจ้าหวังซาน แต่ฝีมือของเจ้าหวังซานเหนือกว่าเขาจึงถูกมันต่อยล้มลงกับพื้น ในขณะที่ซุนลู่ถังพยายามจะลุกขึ้นมาสู้อีกนั้น พวกสมุนของเจ้าหวังซานก็แห่เข้ามารุมกระทืบซุนลู่ถังจนสลบเหมือดคาตีนของพวกมัน
ภรรยาของเถ้าแก่เห็นเหตุการณ์เช่นนั้นก็รู้ว่านางหมดหวังที่จะรอดจากเงื้อมมือของเจ้าหวังซานแล้วนางจึงวิ่งเอาศีรษะชนกำแพงฆ่าตัวตายเพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของนางไม่ให้ถูกมันย่ำยีได้ ขณะนั้นเองเป็นเวลาเดียวกับที่ท่านจางพาพวกเจ้าหน้าที่และพวกชาวบ้านจำนวนหลายสิบคนมาถึงที่นั่นพอดี พวกเจ้าหวังซานจึงต้องเผ่นหนีอย่างอุตลุด ชีวิตของซุนลู่ถังจึงรอดมาได้ราวกับปาฏิหาริย์แต่อาการบาดเจ็บของเขาสาหัสมากเขานอนหมดสติ 5 วัน 5 คืนเต็มก็ยังไม่ฟื้น พอดีอาจารย์ลี้เดินทางกลับมาก่อนกำหนดท่านจึงนำยาวิเศษประจำตระกูลของท่านผสมกับเหล้าขาวให้ซุนลู่ถังดื่มหลายรอบกว่าซุนลู่ถังจะฟื้นคืนสติขึ้นมาอีกครั้งได้
ท่านจางดีใจมากที่ซุนลู่ถังฟื้นคืนสติได้ ท่านบอกกับมารดาของซุนลู่ถังว่า ท่านจะให้ลูกสาวของท่านหรือจางเจ้าเสียนหมั้นหมายกับซุนลู่ถังเมื่อเขาหายดีแล้ว มารดาซุนลู่ถังได้กล่าวกับท่านจางว่า
“ท่านคะ พวกดิฉัน 2 แม่ลูกไม่มีทั้งเงินทองและเกียรติยศแล้วพวกดิฉันจะเข้ามาร่วมสกุลกับผู้มีทั้งความมั่งคั่งและชื่อเสียงอย่างท่านได้ยังไงล่ะคะเดี๋ยวจะเป็นการเสื่อมเสียต่อตระกูลท่านเปล่าๆ นะคะ และคุณหนูของท่านก็อาจจะไม่เต็มใจด้วยนะคะ ขอให้ท่านเปลี่ยนความตั้งใจเถอะค่ะ”
อาจารย์ลี้ผู้เป็นอาจารย์ของซุนลู่ถังได้กล่าวแทนท่านจางว่า
“คุณแม่พูดเช่นนี้ก็ไม่ถูกนะครับ ท่านจางผู้เป็นพี่ร่วมสาบานของผม เขาเป็นคนที่รักความสามารถยิ่งกว่าอื่นใด และเขาก็ไม่เคยวัดคุณค่าของคนจากความรวยหรือความจนด้วย ซุนลู่ถังเป็นเด็กที่มีอนาคตไกลมาก ผมรับรองว่าเขาจะเป็นคู่ครองที่เหมาะสมกับคุณหนูแห่งบ้านสกุลจางอย่างแน่นอนครับ”
ท่านจางได้กล่าวเสริมว่า
“เอาไว้ให้ซุนลู่ถังหายดีก่อนแล้วค่อยๆ พูดกันใหม่ก็ได้ครับ แต่ตอนนี้ ผมขอให้คุณกับซุนลู่ถังมาพำนักที่บ้านผมก่อนนะครับ”
นับจากวันนั้น ซุนลู่ถังและมารดาจึงได้เข้าไปพำนักอยู่ในบ้านของท่านจาง หลังจากที่ซุนลู่ถังรอดชีวิตมาได้แล้ว เขายังเพิ่มความเกลียดแค้นต่อพวกโจรและพวกคนเลวอย่างเจ้าหวังซานมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม และตั้งใจว่าเมื่อหายดีแล้วเขาจะตั้งใจฝึกกังฟูให้เก่งเพื่อผดุงคุณธรรมให้กับโลกนี้ วิญญาณของเถ้าแก่และภรรยาจะได้ไปสู่สุคติ ตัวอาจารย์ลี้เองก็มีความคิดที่จะให้ซุนลู่ถังฝึกกังฟูสืบทอดวิทยายุทธ์ของท่านอย่างจริงจังเสียที เพราะฉะนั้นเมื่อซุนลู่ถังหายจากอาการบาดเจ็บเป็นปกติดีแล้วเขาจึงเริ่มฝึกกังฟูตั้งแต่เช้าจนหัวค่ำจากอาจารย์ลี้ โดยเขาได้ย้ายไปกินนอนที่สำนักคุ้มกันภัยของอาจารย์ลี้เลย จางเจ้าเสียนซึ่งเป็นว่าที่คู่หมั้นของซุนลู่ถังก็หมั่นไปเยี่ยมเขาอยู่เสมอมิได้ขาด
ในขั้นแรก อาจารย์ลี้ขุ่ยหยวนได้เน้นให้ซุนลู่ถังฝึกฝนร่างกายท่อนล่างให้แข็งแกร่งเป็นประการสำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นภายหลังที่ซุนลู่ถังฝึกกระบวนท่ามวยเสร็จแล้ว อาจารย์ลี้จึงจับเขาให้ย่อขาต่ำและยืนนิ่งๆ ห้ามขยับ เขยื้อนทุกส่วนในร่างกายกำหนดลมหายใจให้ชักนำลมปราณหรือชี่ให้ลงไปที่จุดตันเถียนบริเวณท้องน้อย ภายหลังจากดูซุนลู่ถังเริ่มการฝึก ‘ยืนเซน’ แล้ว อาจารย์ลี้ก็กลับเข้าไปที่ห้องหนังสือของท่าน ใช้พู่กันเขียนหนังสือตัวขนาดเล็กๆ จนเต็มหน้ากระดาษเป็นจำนวน 10 แผ่น ท่านถึงออกมาจากห้องหนังสือ ไปดูการฝึกยืนเซนของซุนลู่ถังซึ่งบัดนี้มีเหงื่อท่วมตัวแต่เขาก็ยังคงไม่ขยับร่างกายแต่ประการใด ลมหายใจของเขาก็ยังเป็นปกติ เมื่อเห็นเช่นนั้น อาจารย์ลี้จึงยิ้มออกมาด้วยความพอใจพร้อมกับสั่งให้ซุนลู่ถังขยับร่างกายได้ เมื่อซุนลู่ถังฝึกหัดเสร็จแล้วอาจารย์ลี้ได้สั่งให้ซุนลู่ถังไปหัดคัดและอ่านหนังสือต่ออีก
ซุนลู่ถังทำการฝึกฝนทั้งบู๊และบุ๋นเช่นนี้วันแล้ววันเล่าจนเวลาผ่านไปถึง 2 ปีเต็ม วิชามวยของอาจารย์ลี้ไม่ว่าวิชาเตะ มวยโป้ยเก๊ก และมวยสิ่งอี้ ซุนลู่ถังสามารถเรียนรู้ได้อย่างลึกซึ้งจนเป็นที่โจษจันไปทั่วเมืองเป่าติ้ง
ตอนที่ 4
เช้าวันหนึ่งท่านจางและบุตรสาวได้มาเยี่ยมอาจารย์ลี้ถึงสำนักโดย ซุนลู่ถังเป็นคนยกน้ำชามาเสิร์ฟให้ ท่านจางถามอาจารย์ลี้ว่าฝีมือทางบุ๋นของซุนลู่ถังก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว อาจารย์ลี้ไม่ตอบท่านหัวเราะพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ป้ายกระดาษที่ติดแขวนบนฝาผนังแล้วถามท่านจางว่า ท่านดูออกหรือไม่ ว่าอักษรต่างๆ ที่เขียนอยู่บนป้ายกระดาษแขวนแผ่นนี้มีอักษรตัวไหนบ้างที่เขาเป็นคนเขียนและมีอักษรตัวไหนบ้างที่ซุนลู่ถังเป็นคนเขียน ท่านจางชี้ไปที่อักษรหลายตัวบนป้ายกระดาษนั้น แต่อาจารย์กลับบอกว่าท่านจางทายผิดหมด แสดงว่าฝีมือในการเขียนหนังสือของซุนลู่ถังสูงกว่าที่ท่านจางคาดคิดเสียอีก จนท่านถึงกับเอ่ยปากออกมาว่าคลื่นลูกหลังนี่แรงจริง ๆ
อาจารย์ลี้ได้หันมาพูดกับท่านจางด้วยใบหน้าที่จริงจังว่า
“เด็กคนนี้เป็นเด็กที่มีอนาคตไปไกลมากไม่ว่าในทางบุ๋นหรือทางบู๊ ต่อไปเขาจะต้องเก่งกว่าผมถึง 10 เท่าอย่างแน่นอน บัดนี้ผมได้ถ่ายทอดวิชาให้เขาจนหมดไส้หมดพุงแล้ว อีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ผมจะส่งตัวเขาไปอยู่ที่อื่นครับ”
ในตอนแรกทุกคนที่ได้ฟังคำพูดของอาจารย์ลี้ต่างรู้สึกตกใจนึกว่า ซุนลู่ถังทำผิดจึงถูกอาจารย์อัปเปหิออกจากสำนัก อาจารย์ลี้ต้องรีบชี้แจงว่า พวกเขาเข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว ท่านบอกว่าท่านเห็นแก่อนาคตของซุนลู่ถังต่างหาก จึงอยากจะส่งเขาให้ไปเรียนวิชามวยจากอาจารย์ที่มีฝีมือเก่งกว่าท่านอีก เพราะท่านได้ถ่ายทอดวิทยายุทธ์ของท่านให้แก่ซุนลู่ถังไปจนหมดแล้ว ท่านไม่อยากปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ ท่านจึงคิดที่จะส่งซุนลู่ถัง ไปเรียนวิชามวยสิ่งอี้จากปรมาจารย์กั๋วหยุนเซินผู้โด่งดังแห่งยุคและมีฉายาว่า ‘หมัดสั้นพิชิตทั่วแดนไม่เคยเกินครึ่งก้าว’ อาจารย์กั๋วหยุนเซินท่านนี้เป็นอาจารย์ของอาจารย์ลี้อีกทีหนึ่ง
ท่านจางได้ทราบความจริงใจที่มีต่อตัวซุนลู่ถังจากปากของอาจารย์ลี้ แล้วท่านยิ่งรู้สึกชื่นชมในความใจกว้างและบุคลิกที่เปิดเผยยิ่งของอาจารย์ลี้มากกว่าแต่ก่อน ตัวซุนลู่ถังเองไม่อยากจากอาจารย์ลี้ผู้มีพระคุณเลยแต่เขาไม่อาจปฏิเสธความหวังดีของท่านได้... ดังนั้น 10 วันต่อมาซุนลู่ถังจึงได้ตามอาจารย์ลี้ไปหาปรมาจารย์กั๋วหยุนเซินที่เมืองเซินเจาและกราบไหว้อาจารย์กั๋วเป็นศิษย์ตั้งแต่บัดนั้น
ซุนลู่ถังได้ฝึกฝนวิชามวยสิ่งอี้ (มวยเจตรูป) จากอาจารย์กั๋วเป็นเวลาถึง 8 ปีเต็มจนได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชามวยสิ่งอี้จากอาจารย์ กั๋วมาได้หมดไม่มีตกหล่นแม้แต่น้อย
ในปีที่ 8 ที่ซุนลู่ถังได้ร่ำเรียนวิทยายุทธ์จากอาจารย์กั๋วหยุ่นเซิน ขณะนั้น เป็นช่วงฤดูหนาวหิมะตกปกคลุมถนนหนทางจนขาวโพลนไปหมดทั่วมณฑล หูเป่ย ม้าตัวหนึ่งสีเหมือนลูกเกาลัดกำลังวิ่งมาตามถนนโดยมีอาจารย์กั๋วเป็นผู้ขับขี่ ขณะที่มีชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งไม่ใช่ใครอื่นแต่คือซุนลู่ถังที่เติบโตเป็นหนุ่มแล้วกำลังวิ่งตามหลังม้าตัวนี้มาติดๆ ด้วยความเร็วที่สูงยิ่ง จากนั้นเขาก็แตะตัวม้าแล้วกระโดดลอยตัวขึ้นไปนั่งบนหลังม้าติดกับหลังอาจารย์กั๋วในท่า ‘นกนางแอ่นทะยานเมฆ’ จากนั้นใช้ 2 เท้ายืนบนตัวม้าในท่า ‘แมลงปอโฉบผิวน้ำ’ แล้วใช้มือแตะบ่าของอาจารย์กั๋วมองดูวิวข้างหน้า
ท่านอาจารย์กั๋วหัวเราะชอบใจในความคล่องแคล่วของซุนลู่ถังที่บัดนี้กระโดดลงไปบนพื้นและเกาะหางม้าวิ่งตัวปลิวตามม้าไปโดยอาศัยแรงฉุดของม้าช่วยวิ่งด้วยอีก ถ้าหากความคล่องแคล่วของซุนลู่ถังเป็นสิ่งที่น่าทึ่งแล้ว ความฮึกเหิมดุจคนหนุ่มของอาจารย์กั๋วที่มีอยู่ 60 ปีกว่าแล้วก็เป็นที่น่าทึ่งเช่นกัน
เมื่อม้าสีลูกเกาลัดตัวนั้นวิ่งมาถึงสะพานใหญ่ของเมืองเซินเจา จอมยุทธ์เฒ่ากั๋วหยุนเซินได้หันมาถามจอมยุทธ์หนุ่มซุนลู่ถังผู้เป็นศิษย์ว่า เขาจำได้หรือไม่ว่าวันนี้เป็นวันอะไร
“จำได้สิครับอาจารย์ วันนี้เมื่อ 8 ปีก่อนอาจารย์ลี้ได้พาผมมาที่นี่ แล้วได้พบกับอาจารย์ที่สะพานหินแห่งนี้โดยบังเอิญครับ ในตอนนั้นอาจารย์กำลังเตรียมตัวออกเดินทางไปประลองฝีมือกับอาจารย์ตงไห่ชวนปรมาจารย์มวยฝ่ามือ 8 ทิศที่เมืองปักกิ่งอยู่พอดี อาจารย์เลยบอกให้ผมกับอาจารย์ลี้ไปรอที่บ้านอาจารย์อย่างช้าอีก 10 วันจึงจะกลับมาที่ไหนได้กว่าอาจารย์จะกลับมาก็อีก 1 เดือนหลังจากนั้น”
“อาจารย์เสียดายจริงๆ ที่มารู้จักผู้เฒ่าตงไห่ชวนช้าเกินไป พวกเรา 2 คนถูกคอกันมากและผลัดกันแลกเปลี่ยนสุดยอดวิชามวยของกันและกันจน กระทั่งเผลอนิดเดียวเวลาก็ผ่านไปถึง 1 เดือนเต็มแล้ว”
“อาจารย์ครับ ในตอนนั้นผลการประลองฝีมือระหว่างอาจารย์กับ อาจารย์ตงเป็นอย่างไรครับ ตลอด 8 ปีมานี้อาจารย์ไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้พวกเรา ฟังเลย บางครั้งอาจารย์บอกแต่เพียงว่าวิชามวยฝ่ามือ 8 ทิศของอาจารย์ ตงนั้นร้ายกาจมากเท่านั้น แต่ผมสงสัยจริงๆ ครับว่าจะมีมวยอันไหนที่ร้ายกว่า มวยสิ่งอี้ของพวกเราไปได้ครับ”
“ลู่ถัง เธอลืมสุภาษิตของสำนักเราไปแล้วหรือว่าจงอย่าใช้ต้นไม้ต้นเดียวสร้างป่า แล้วอย่าให้ใบไม้เพียงใบเดียวปิดตาของเรา เธอจะต้องไม่ลืมสิว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้านะ”
ซุนลู่ถังจำเป็นต้องหุบปากเมื่อถูกอาจารย์ของเขาดุ แต่เขาก็แอบแย้งท่านอยู่ในใจว่า เขาไม่เชื่อว่าในยุคนี้จะมีจอมยุทธ์คนไหนที่จะเก่งไปกว่าท่านอาจารย์กั๋วหยุ่นเซินของเขาอีกแล้ว
อาจารย์กั๋วหยุ่นเซินชอบหัดกังฟูตั้งแต่ท่านยังเป็นเด็ก ท่านได้มีโอกาสกราบกรานอาจารย์ลี้ลั่วเหนิงผู้สถาปนาวิชามวยสิ่งอี้สายหูเป่ยเป็นอาจารย์ ท่านทุ่มเทให้กับการฝึกฝนวิชาฝีมือจนประสบความสำเร็จขั้นสูงในวัยหนุ่มแน่น สามารถสืบทอดแก่นแท้ของวิชามวยสิ่งอี้จากอาจารย์ลี้ลั่วเหนิงมาได้จนหมดสิ้น นอกจากท่านจะเชี่ยวชาญในวิชาหมัดมวยแล้วท่านยังเชี่ยวชาญในการใช้ศาสตราวุธต่างๆ ด้วย โดยเฉพาะกระบี่เดือนเสี้ยวที่มีความยาว 1 เชียะ 2 หุน ท่านมีความชำนาญมากเป็นพิเศษ ภายหลังจากที่ร่ำเรียนวิชาฝีมือสำเร็จแล้ว ท่านก็ออกตระเวนยุทธจักรแถบภาคเหนือเพื่อเปิดหูเปิดตา ท่านได้ประลองฝีมือกับผู้เยี่ยมยุทธ์จากมณฑลหูเป่ย มณฑลหูนาน และมณฑลชานตุง มานับครั้งไม่ถ้วนและไม่เคยพ่ายแพ้ใครแม้แต่ครั้งเดียว จนท่านได้รับฉายาว่า ‘หมัดสั้นพิชิต ทั่วแดนไม่เคยเกินครึ่งก้าว’ อาจารย์กั๋วท่านมีอุปนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา รักความเป็นธรรม เป็นที่ยอมรับของผู้คนในยุทธจักร ซุนลู่ถังรู้ความจริงในเรื่องนี้เป็นอย่างดี เขาจึงยากที่จะเชื่อว่าวิชามวยฝ่ามือ 8 ทิศของอาจารย์ตงไห่ชวน เหนือกว่าวิชามวยสิ่งอี้ของอาจารย์กั๋วหยุ่นเซิน
อาจารย์กั๋วอ่านความรู้สึกในใจของซุนลู่ถัง ท่านลงจากหลังม้ามายืนใกล้ๆ กับซุนลู่ถังและเล่าเหตุการณ์ประลองฝีมือระหว่างท่านกับอาจารย์ตงเมื่อ 8 ปีก่อนให้ซุนลู่ถังฟังโดยละเอียด
“ในปีนั้นอาจารย์ได้ฟังคำร่ำลือเกี่ยวกับอาจารย์ตงไห่ชวนจากนักเดินทางคนหนึ่งว่าในกรุงปักกิ่งมีคนคนหนึ่งชื่อตงไห่ชวนเป็นหัวหน้าองครักษ์ในวัง คนผู้นี้มีความเป็นอัจฉริยะในวิชามวยมากถึงขนาดคิดค้นมวยฝ่ามือ 8 ทิศขึ้นมาได้โดยใช้หลักปากัวในคัมภีร์อี้จิงประสานกับวิชาตัวเลขมหัศจรรย์ของเซียนจนบัดนี้ไร้ผู้ใดเทียมทาน อาจารย์ได้ยินแล้วยังไม่ยอมรับ จึงชักชวนศิษย์รุ่นน้องของอาจารย์ที่ชื่อหลิวฉีหลันไปเยี่ยมอาจารย์ตงไห่ชวน และขอประลองฝีมือกับท่านที่สวนสนภายในวังจักรพรรดิ
ทั้งสองได้ต่อสู้กันอย่างสุดความสามารถ คนหนึ่งบรรลุสุดยอดของความแข็ง อีกคนหนึ่งบรรลุสุดยอดของความอ่อน แต่ก็ไม่อาจรู้แพ้รู้ชนะกันได้ การประลองดำเนินไปทุกวันตั้งแต่เช้าจรดเย็นเป็นเวลาถึง 3 วันเต็ม แต่ก็ยังไม่มีใครแพ้ใครชนะ ต่างฝ่ายต่างยอมรับในความเป็นยอดฝีมือของคู่ต่อสู้ของตน ท่านจึงกลายมาเป็นเพื่อนร่วมสาบานกันในวันที่ 4 และแลกเปลี่ยนเคล็ดลับของวิชาของแต่ละฝ่าย พร้อมกับมีข้อตกลงร่วมกันว่าจะผนวกจุดเด่นของมวยทั้งสองเข้าด้วยกันให้เป็นหนึ่งเดียวดุจน้ำรวมกับนม ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา มวยฝ่ามือ 8 ทิศ กับมวยสิ่งอี้ของเราจึงมีความสัมพันธ์ดุจมวยพี่มวยน้องยังไงเล่า”
“อาจารย์ครับ ท่านอาจารย์ตงไห่ชวนมีความเป็นมายังไงครับ”
“พี่ตงไห่ชวนเป็นชาวเมืองเหวินอันท่านชอบศึกษาวิทยายุทธ์ตั้งแต่เด็ก และศึกษาวิชามวยแขนงต่างๆ ไปทั่วด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง สิ่งที่คนอื่นไม่กล้า ไม่ชอบทำท่านกลับอาสาเข้าไปทำด้วยความเต็มใจ วันหนึ่งในขณะที่ท่านกำลังปีนเขาจิ่วหัวซานที่เจียงหนานอยู่นั้นท่านได้พบกับนักพรตเต๋าท่านหนึ่ง ซึ่งได้ถ่ายทอดคำสอนของวิชาเซียนให้แก่ท่าน จากนั้นท่านก็ได้นำคำสอนอันนี้มา ค้นคว้าปรับปรุงเป็นวิชาฝีมือจนกลายเป็นวิชามวยฝ่ามือ 8 ทิศขึ้นมานับว่า ท่านเป็นจอมยุทธ์ที่หาได้ยากยิ่งในวงการยุทธจักรสมัยนี้เลยทีเดียว”
“อาจารย์ครับ ในสมัยนี้มีใครในวงการยุทธจักรบ้างที่อาจารย์จัดว่า พวกเขาเป็นจอมยุทธ์ครับ”
“นอกจากอาจารย์ตงไห่ชวนแล้วก็มีอาจารย์หยังลู่ฉานผู้เชี่ยวชาญ มวยไท้เก๊กสกุลหยัง และอาจารย์เฉินชิงผิง ผู้เชี่ยวชาญมวยไท้เก๊กสกุลเฉิน และยังมีอีกหลายท่านที่ชอบเก็บตัวเงียบดุจเสือซ่อนเล็บ”
ในขณะที่อาจารย์กับลูกศิษย์กำลังคุยกันถูกคออยู่นั้น ม้าสีเกาลัดของอาจารย์กั๋วก็ส่งเสียงร้องผิดปกติขึ้นมา ซุนลู่ถังจึงกระโจนขึ้นหลังม้าไปดูทิวทัศน์ข้างหน้าแล้วส่งเสียงร้อง ให้อาจารย์กั๋วตามขึ้นมาดูเหตุการณ์นั้นร่วมกับเขาด้วย ภาพที่ซุนลู่ถังได้เห็นนั้นคือไฟที่กำลังลุกโชนไหม้หมู่บ้านซานลี้ชุนที่อยู่ทางทิศใต้ เลยจากสะพานหินนี้ไม่ไกลเท่าไหร่นัก ซุนลู่ถังและอาจารย์กั๋วยังได้ยินเสียงร้องไห้ระงมลอยมาอีกด้วย ทั้ง 2 คนจึงรีบบึ่งไปที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนั้นทันที
ขณะนั้นกองโจรที่ใส่ผ้าดำคลุมปิดหน้าขี่ม้าราวๆ 7-8 คนกำลังบุกเข้าไปชิงสาวงามนางหนึ่งที่มีชื่อกระฉ่อนไปทั่วมณฑลหูเป่ยว่าร้องเพลงเพราะมาจากบิดาของนาง ผู้คนในหมู่บ้านที่พยายามจะเข้าไปช่วยนางได้ถูกโจรพวกนี้ใช้ดาบฟันบาดเจ็บเลือดสาดนอนร้องครวญครางอยู่กับพื้นถนนหลายคนแล้ว พร้อมกับบ้านที่ถูกไฟเผาสิบกว่าหลัง โจรกลุ่มนี้อ้างตัวว่าพวกมันเป็นลูกน้องของหวังเฮยหลินจอมโจรชื่อดังซึ่งต้องการสาวงามผู้นี้ไปเป็นนางบำเรอสักครึ่งปีแล้วจะส่งกลับมาคืนให้ แต่ผู้คนในหมู่บ้านหารู้ความจริงไม่ว่า จอมโจรเฮยหลินตัวจริงนั้นได้ถูกทางการจับได้และลงโทษประหารชีวิตไปแล้ว ขณะที่พวกโจรโพกผ้าดำกำลังหัวเราะด้วยความลำพองอยู่นั้นอาจารย์กั๋วกับซุนลู่ถัง ผู้เป็นศิษย์ก็มาถึงที่นั่นพอดี
“ไอ้พวกสัตว์นรก พวกแกรู้จักกั๋วหยุ่นเซินแห่งเซินเจาหรือเปล่า”
พอพวกโจรได้ยินเสียงที่ดังก้องดุจฟ้าฝ่าของอาจารย์กั๋วเท่านั้นพวกมันถึงกับตกใจ เจ้าคนที่เป็นหัวหน้ากองโจรโพกผ้าดำได้รีบยกมือคารวะอาจารย์กั๋วพร้อมกับเอ่ยปากว่า
“โอ ไต้เฮียบกั๋ว ชื่อของท่านระบือไปทั่วภาคเหนือมีใครจะไม่รู้จักได้เล่า พวกเราไม่นึกเลยว่าจะได้พบกับท่านที่นี่ ท่านหวังเฮยหลินผู้เป็นหัวหน้าของเราก็เคารพยกย่องไต้เฮียบกั๋วมาโดยตลอด”
“ถ้าเช่นนั้นก็ปล่อยสตรีผู้นั้นเดี๋ยวนี้” อาจารย์กั๋วยังไม่หายโกรธท่านเดินลงจากม้าตรงไปหาพวกนั้น ซุนลู่ถังก็ลงจากหลังม้ามือถือบังเหียนม้าเอาไว้ พลางขมวดคิ้ว เขารู้สึกสะดุดใจในน้ำเสียงของหัวหน้าโจรผู้นั้นเหมือนกับเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
“อาจารย์กั๋วกรุณาหลีกทางให้พวกเราเถอะครับ แมลงวันย่อมไม่ตอมแมลงวันด้วยกันเองไม่ใช่เหรอครับ”
“หุบปากอันโสมมของพวกแกเถอะ พวกแกมันคนรกโลกที่สร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านเป็นประจำ”
หัวหน้าโจรเห็นไม่มีทางอื่น มันถือว่าพวกตัวเองมีมากกว่าจึงบุกเข้าต่อยอาจารย์กั๋วก่อนชิงความได้เปรียบทันที อาจารย์กั๋วปล่อยให้หัวหน้าโจรบุกต่อยเอาข้างเดียวหลายกระบวนท่าเหมือนกับต้องการแสดงให้ซุนลู่ถังที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้เห็นวิธีการใช้จริง ๆ ได้สักพักหนึ่ง ท่านก็เปลี่ยนเป็นตีโต้กลับไปบ้าง อาจารย์กั๋วใช้หมัดขวาของท่านต่อยไปเบาๆ ที่บริเวณทรวงอกของหัวหน้าโจรผู้นั้น มันถึงกับกระเด็นตัวปลิว อาเจียนออกมาเป็นเลือด แต่ก็ยังไม่คลายพิษสง มันสั่งให้ลูกน้องรุมอาจารย์กั๋วทันที แต่สมุนเหล่านี้ไม่คณนามือของอาจารย์กั๋ว พวกมันโดนอาจารย์กั๋วปราบจนราบคาบ
อาจารย์กั๋วตรงเข้าไปเหยียบอกหัวหน้าโจรเตรียมจะปลิดชีพมันไปลงนรก มันรีบร้อนขอชีวิตอาจารย์กั๋วโดยอ้างว่าขอให้เห็นแก่หน้าของท่านโต้วเสี้ยนเตี้ยวผู้นำพรรคซานหวงด้วยเถอะ พรรคซานหวงเป็นกลุ่มอิทธิพลใหญ่ที่สุดที่มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หนุนหลังโดยที่โต้วเสี้ยนเตี้ยวเคยเป็นศิษย์ฆราวาสของวัดเส้าหลิน เมื่อได้ฟังเช่นนั้นอาจารย์กั๋วถึงกับหยุดชะงัก หัวหน้าโจรรีบถอดผ้าคลุมหน้าแนะนำตัวเองว่ามันชื่อ หวันซานเปียว เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับโต้วเสี้ยนเตี้ยวขณะนี้มันดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคซานหวงอยู่ หวังซานเปียวเป็นชายร่างใหญ่อายุราวๆ 40 ปี ตาข้างซ้ายบอดข้างหนึ่ง
“อาจารย์ครับ คนคนนี้ไม่ใช่คนของพรรคซานหวงหรอกครับแต่มันคือไอ้หวังซานตาเดียวที่เผาร้านขายพู่กันและฆ่าเจ้าของร้านตายไปกับฉุดภรรยาของเจ้าของร้านไปเมื่อ 10 ปีก่อนครับ”
ซุนลู่ถังรีบเล่าโฉมหน้าที่แท้จริงของเจ้าหวังซานให้อาจารย์กั๋วฟัง ก่อนที่ท่านจะหลงกล หวังซานยืนยันว่ามันเป็นลูกน้องของโต้วเสี้ยนเตี้ยวจริงๆ โดย มันได้เปิดเผยแผนการชั่วร้ายของโต้วเสี้ยนเตี้ยวว่า ต้องการหัวเอ๋อนักร้องสาวสวยนางนี้มาเป็นภรรยาน้อยแต่นางไม่เล่นด้วยจึงวางแผนให้หวังซานปลอมเป็นโจรไปฉุดนาง แล้วจะแสร้งเข้ามาช่วยเพื่อให้นางสำนึกในบุญคุณ จะได้ยอมเป็นเมียของเขา อาจารย์กั๋วได้ฟังเช่นนั้นก็ยิ่งโกรธมากยิ่งขึ้น
“โต้วเสี้ยนเตี้ยวจะมาถึงที่นี่เมื่อไหร่”
“พวกผมตกลงกันไว้ 2 ชั่วโมงให้หลังจากที่ผมเข้าไปฉุดนางหัวเอ๋อ ตอนนี้ก็ได้เวลาแล้วกระมังครับ”
อาจารย์กั๋วจึงยังไม่สำเร็จโทษหวังซาน ท่านกะว่ารอให้โต้วเสี้ยนเตี้ยวมาถึงที่นี่ก่อนแล้วท่านจะสำเร็จโทษพวกมันพร้อมๆ กันเพราะหากฆ่าหวังซาน ตอนนี้ก็จะไม่มีพยานเปิดโปงความชั่วร้ายของ ‘วิญญูชนจอมปลอม’ อย่างโต้วเสี้ยนเตี้ยว ดีไม่ดีมันอาจจะรวมหัวกับทางการยัดเยียดข้อหาฆาตกรให้แก่ท่าน
แต่โต้วเสี้ยนเตี้ยวนั้นเป็นนกรู้มันจึงไม่ยอมมาเอง แต่ส่งลูกน้องมือดีของมันมาฆ่าหวังซานและสมุนปิดปาก อ้างว่าพวกนี้เป็นลูกสมุนของหวังเฮยหลินและจะนำศพของพวกนี้ไปส่งให้ทางการรับเงินสินบนนำจับ ทำให้อาจารย์กั๋วไม่อาจทำอะไรกับพรรคซานหวงได้ ฝ่ายพรรคซานหวงก็มีความเจ็บแค้นอาจารย์กั๋วที่มาขัดขวางพวกตนจึงวางแผนที่จะกำจัดอาจารย์กั๋วให้พ้นทางพวกมัน...
ตอนที่ 5
ณ ที่บ้านของอาจารย์กั๋วหยุ่นเซิน ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืนชายหนุ่ม 10 กว่าคนซึ่งเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์กั๋วกำลังคร่ำเคร่งอยู่กับการฝึกกังฟูอยู่ที่บริเวณสวนหลังบ้านของอาจารย์ ตอนนั้นซุนลู่ถังกำลังร่ายรำท่ามวย 12 ท่า ซึ่งเป็นท่าสัตว์ต่างๆ ในมวยสิ่งอี้ให้อาจารย์กั๋วดู อาจารย์กั๋วเห็นการรำมวยสิ่งอี้ของซุนลู่ถังแล้วท่านพยักหน้าด้วยความพอใจพร้อมกับบอกกับซุนลู่ถังว่า
“ความพิสดารในการใช้วิทยายุทธ์นั้นอยู่ที่การประสานท่าร่างกับจิตสำนึกให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ดังเคล็ดวิชาที่อาจารย์เคยพร่ำสอนเธออยู่เสมอว่า มีท่าร่างก็ต้องมีจิตสำนึกตามไปด้วย เมื่อกระบวนท่าบรรลุถึงขั้นไร้ใจ จึงจะเข้าขั้นพิสดารได้ ซุนลู่ถังเธอติดตามมาเรียนวิชากับอาจารย์ได้ 8 ปีแล้ว อาจารย์ดีใจจริง ๆ ที่เธอสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาของอาจารย์ได้จนหมดสิ้นแล้ว ในโลกนี้มีคนฝึกกังฟูอยู่มากมายก็จริง แต่จะฝึกได้จนถึงขั้นพิสดารนั้นมีน้อยคนนัก ที่เป็นเช่นนี้เพราะคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจหลักวิชา 3 ขั้นตอนของการฝึกมวยภายใน กล่าวคือ
การฝึกเปลี่ยนจิงให้เป็นชี่ นี่เรียกว่าขั้นตอนที่ 1
การฝึกเปลี่ยนชี่ให้เป็นเสิน นี่เรียกว่าขั้นตอนที่ 2
และ การฝึกเปลี่ยนเสินให้เป็นสุญญตา นี่เป็นขั้นตอนที่ 3
นอกจากนี้ผู้คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่เข้าใจว่าลำดับก้าวของการฝึกมวยภายในนั้นมีอยู่ 3 ก้าวด้วยกัน
การฝึกเปลี่ยนกระดูก นั้นคือก้าวแรก
การฝึกเปลี่ยนเส้นเอ็น นั้นคือก้าวที่ 2
และการฝึกล้างไขกระดูก นั้นคือก้าวที่ 3
นอกจากนี้ผู้ฝึกส่วนใหญ่ก็ยังเข้าไม่ถึงเคล็ดของการฝึกพลัง 3 ประเภท คือ พลังเปิดเผย พลังปิดลับ และพลังสะเทิน เพราะฉะนั้นเวลาเธอฝึกมวยนะซุนลู่ถังเธอจะต้องเข้าใจเคล็ดวิชาเหล่านี้ให้ขึ้นใจและแจ่มกระจ่างเสียก่อน เวลาที่เธอไปประลองกับใครจริงๆ เธอจะได้เปลี่ยนแปลงได้ตามใจปรารถนาไม่มีที่สิ้นสุด
ยามออกมือเหมือนงูไปงับเหยื่อ ยามตีคนดุจฟ้าผ่าพสุธา ยาม เคลื่อนไหวเร็วยิ่งกว่านกโผบิน ชี่ระเบิดดุจคลังดินปืนระเบิด หมัดพุ่ง ออกมาดุจกระสุนและหนักหน่วงดุจพันชั่ง ท่าร่างกับจิตเป็นหนึ่งเดียวบริบูรณ์ มีหมัดก็เหมือนไม่มี มีจิตก็เหมือนไม่มี ในภาวะไร้จิตมีจิตที่แท้ หากทำได้ถึงขั้นนี้คือผู้เยี่ยมยุทธ์”
“ครับ อาจารย์”
“ในยามเผชิญหน้ากับปรปักษ์ ก็เหมือนกับการใช้ทหาร ใจคือ ขุนพลที่สั่งการให้ทหารรบ มือเท้าคือกองทหาร 4 เหล่า ชี่คือปืนใหญ่ที่ไร้ควันไฟ ตาคือหน่วยทะลวงฟัน เมื่อเริ่มต่อสู้จะต้องดุเดือด ยามบุกเร็วดุจลูกธนู ยามรับแผ่วเบาดุจสายลม ใช้แรงขา 7 ส่วน แรงมือ 3 ส่วน ข้อทุกข้อในร่างกายจะต้องประสานกัน ชี่คล้อยตามการสั่งงานของจิตใจ...”
“ครับอาจารย์”
ในขณะนั้นเองที่การสนทนาของครูกับศิษย์ถูกขัดจังหวะ เนื่องจากมีตัวแทนของพรรคซานหวงนำบัตรเชิญอาจารย์กั๋วไปงานเลี้ยงรับรองของพรรค ที่จะมีขึ้นในเย็นวันพรุ่งนี้ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นอุบาย ‘ล่อเสือออกจากถ้ำ’ แต่อาจารย์กั๋วก็รับปากที่จะไปงานเลี้ยงรับรองนั้นตามคำเชื้อเชิญของพรรคซานหวง
ภายหลังจากที่ตัวแทนของพรรคซานหวงเดินทางกลับไปแล้ว อาจารย์กั๋วได้เรียกลูกศิษย์ทุกคนมาชุมนุมกันที่ห้องโถงแล้วบอกว่า
“พวกเธอทั้งหลายได้มาเป็นศิษย์ร่ำเรียนวิชากังฟูจากอาจารย์เป็นเวลาหลายปีแล้ว พวกเธอจะรู้ดีว่าอาจารย์เป็นคนยังไง มีนิสัยอย่างไร อาจารย์อยากจะให้พวกเธอนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจงหมั่นฝึกฝนตนเองมากยิ่งขึ้น จะได้กลายเป็นคนที่สามารถพิทักษ์ธรรมได้ เดี๋ยวนี้ราชวงศ์เช็งก็เสื่อมถอย ประเทศอ่อนแอประชาชนยากไร้ ต่อให้พวกเธอรักชาติเพียงไหนก็คงไม่มีโอกาสรับใช้ชาติในระบบราชการได้หรอก แต่พวกเธอยังสามารถรักษาความเป็นธรรมให้กับสังคมได้มิใช่หรือ โต้วเสี้ยนเตี้ยวใช้พรรคซานหวงของมันสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้คนมากมาย ถึงเวลาแล้วที่จะต้องยอมเสี่ยงชีวิตของอาจารย์เพื่อขจัดมารร้ายผู้นี้ ประชาชนจะได้เป็นสุข เพราะฉะนั้นในวันพรุ่งนี้อาจารย์ขอสั่งให้พวกเธอแยกย้ายไปจากที่นี่ไปตามทางของพวกเธอเพื่ออนาคตของพวกเธอได้แล้ว”
พวกลูกศิษย์ต่างอาสาจะขอติดตามอาจารย์กั๋วไปโค่นพรรคซานหวงด้วย แต่อาจารย์กั๋วสั่งห้ามเด็ดขาด ท่านได้ตัดสินใจแล้วว่าจะจัดการเรื่องนี้เพียงลำพัง
โต้วเสี้ยนเตี้ยวเชี่ยวชาญในวิชาฝ่ามือทรายเพลิงของวัดเส้าหลิน มิหนำซ้ำยังพกปืนสั้นที่ได้มาจากฝรั่งไว้ที่เอวอีกด้วย มันกับสมุนที่ระดมมาร่วม 200 คน เตรียมรับมืออาจารย์กั๋วอย่างเต็มที่ที่วัดฝ่าหยุ่น ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองเซินเจาไปราวๆ 10 กว่าลี้ และเป็นที่ตั้งของพรรคซานหวงของมัน แต่โต้วเสี้ยนเตี้ยวก็นึกไม่ถึงว่าอาจารย์กั๋วจะบุกเดี่ยวมาที่นี่เพียงลำพัง เมื่ออาจารย์กั๋วมายืนเผชิญหน้ากับโต้วเสี้ยนเตี้ยว คำพูดประโยคแรกที่มันเอ่ยปากออกมาก็คือ
“ขอใช้วิชาบู๊ เป็นการทักทายมิตรสหาย”
พอพูดจบมันก็ขว้างกระสวยบินใส่อาจารย์กั๋วทันที อาจารย์กั๋วเบี่ยงศีรษะนิดหน่อยกระสวยบินเล่มนั้นก็พลาดเป้าไปปักติดอยู่บนเสา พอขว้างพลาดโต้วเสี้ยนเตี้ยวก็ขว้างกระสวยบินอันที่ 2 ตามติดทันที คราวนี้อาจารย์กั๋วใช้ปากของท่านคาบกระสวยบินเอาไว้ได้และนำมันมาเดาะที่มือ
“พรรคซานหวงป่าวประกาศว่าตัวเองมีอุดมการณ์สูงส่ง ที่มุ่งส่งเสริม การฝึกมวยเพื่อสร้างชาติ ศิษย์ของวัดเส้าหลินส่วนใหญ่ล้วนได้รับการอบรมให้ยึดมั่นในคุณธรรม แต่สิ่งที่พวกแกทำมีแต่ความเลว เข่นฆ่าผู้คนอย่างไม่ยำเกรงกฏหมาย ไม่กลัวฟ้าดินจะลงโทษ พวกแกมันเป็นศิษย์วัดเส้าหลินแต่ปากเท่านั้น ที่แท้พวกแกก็คือสวะของวงการบู๊ลิ้ม วันนี้แหละคือวันตายของแกแล้วจงรู้ไว้ด้วยโต้วเสี้ยนเตี้ยว”
พูดจบอาจารย์กั๋วก็ขว้างกระสวยบินในมือไปปักป้ายพรรคซานหวง ที่อยู่เหนือศีรษะของโต้วเสี้ยนเตี้ยวจนแตกเป็น 2 เสี่ยงตกลงมาที่พื้น โต้วเสี้ยนเตี้ยวเห็นเช่นนั้นก็โกรธจัดสลัดเสื้อคลุมออกแล้วใช้ฝ่ามือของมันโจมตีไปที่หว่างเอวของอาจารย์กั๋วทันที อาจารย์กั๋วพลิกตัวหลบฝ่ามือแรกของมันพร้อมกับหัวเราะเยาะว่า
“ข้าอยากจะรู้นักว่าฝ่ามือทรายเพลิงของคนที่มัวเมาในสุราและนารี อย่างแกจะมีพิษสงแค่ไหนกัน”
วิชาฝ่ามือทรายเพลิงของโต้วเสี้ยนเตี้ยว ทำอะไรอาจารย์กั๋วไม่ได้เลย ตรงกันข้ามมันกลับถูกหมัดของอาจารย์กั๋วกระเด็นไปชนกับเสาหิน ลูกน้องของ มันเห็นไม่ได้การจึงโยนขวานคู่มือของโต้วเสี้ยนเตี้ยวให้เป็นอาวุธ ฝ่ายอาจารย์กั๋วก็ชักกระบี่คู่มือของท่านออกมาบ้างทั้งสองประมือกันด้วยอาวุธได้ไม่กี่เพลง อาจารย์กั๋วก็ใช้กระบี่ของท่านตวัดขวานของโต้วเสี้ยนเตี้ยวจนกระเด็นออกจาก มือ แต่โต้วเสี้ยนเตี้ยวเป็นคนที่ร้ายกาจมากมันย่อเข่าลงต่ำพร้อมกับก้มตัวไปข้างหน้า ทันใดนั้นธนูลับที่ซ่อนอยู่ด้านหลังของมันก็พุ่งเข้าใส่บริเวณเอวของอาจารย์กั๋วทันที แต่อาจารย์ดีดตัวถอยออกมาห่างทัน โต้วเสี้ยนเตี้ยวเห็นพลาดท่าจึงหันไปคว้าปืนสั้นที่วางอยู่บนโต๊ะจะมายิงอาจารย์กั๋ว
“กั๋วหยุ่นเซินวันนี้เป็นวันตายของแกแล้ว”
แต่ก่อนที่มันจะลั่นไกได้ ลูกหินลูกหนึ่งก็ถูกยิงลงมาจากหลังคากระทบมือขวาของโต้วเสี้ยนเตี้ยวอย่างจังจนปืนของมันตกลงที่พื้น ในจังหวะนั้นเอง ที่กระบี่ของอาจารย์กั๋วแทงเข้าใส่ทรวงอกของหัวหน้าโจรผู้นี้จนตายคาที่ ลูกน้อง 4-5 คนของโต้วเสี้ยนเตี้ยวเห็นหัวหน้าของมันถูกอาจารย์กั๋วฆ่าตายไปแล้วจึงชักดาบออกมาหมายจะรุมฆ่าอาจารย์กั๋ว แต่ก็ถูกกระสุนหินที่ถูกปล่อยออกมา จากคันธนูของซุนลู่ถังที่ลอบตามมาช่วยอาจารย์ของตนจนล้มระเนระนาด
อาจารย์กั๋วประกาศให้พวกสมุนของโต้วเสี้ยนเตี้ยวทราบว่า
“วันนี้ฆ่าสังหารเจ้านายของเจ้าเพื่อขจัดภัยอันตรายให้แก่ประชาชน พวกสมุนอย่างเจ้าไม่เกี่ยวจงไปเสียเถอะ ข้าไม่อยากฆ่าพวกเจ้า ส่วนตัวข้าเสร็จจากที่นี่แล้วก็จะเข้าไปมอบตัวกับทางการและขอรับผิดชอบกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้นพวกลูกน้องของโต้วเสี้ยนเตี้ยวจึงเผ่นหายไปจากที่นั่นจนหมดสิ้น ซุนลู่ถังกระโดดลงมาคารวะอาจารย์ เขารู้สึกดีใจที่วิชายิงธนูด้วยลูกกระสุนหินที่เขาเชี่ยวชาญตั้งแต่เด็กสามารถเป็นประโยชน์ต่ออาจารย์ที่เขารักและเคารพได้
“อาจารย์ครับ”
กั๋วหยุ่นเซินทั้งแปลกใจระคนดีใจที่ได้เห็นซุนลู่ถัง ท่านโอบกอดซุนลู่ถัง ด้วยความเอ็นดู
“เด็กโง่ ในที่สุดเจ้าก็ลอบตามหลังอาจารย์มาจนได้”
เมื่ออาจารย์กั๋วตัดหัวของโต้วเสี้ยนเตี้ยวไปรายงานตัวต่อผู้ว่ามณฑล ตัวท่านแทนที่จะได้รับความชมเชยที่ปราบจอมโจรให้กับทางการ ท่านกลับถูกตีตรวนและถูกนำไปขังคุกข้อหาฆาตกร ทั้งนี้ก็เพราะว่าโต้วเสี้ยนเตี้ยวและสมาคมลับของมันมีสัมพันธ์กับผู้มีอิทธิพลในมณฑลนี้เป็นอย่างสูง ในตอนแรกอาจารย์กั๋วโดนข้อหาหนักหมายจะให้ถูกประหารตายตกไปตามๆ กันแต่ พวกชาวบ้านและคนในวงการบู๊ลิ้มออกมาปกป้องอาจารย์กั๋วและยกพวกมาเยี่ยมเยียนอาจารย์กั๋วในคุกมิได้ขาด ฝ่ายผู้มีอำนาจในมณฑลจึงจำใจลงโทษจำคุกอาจารย์กั๋วแค่ 3 ปีเท่านั้น ผู้คนในวงการบู๊ลิ้มก็ยังแห่มาเยี่ยมอาจารย์กั๋วไม่ขาดสายรวมทั้งซุนลู่ถังด้วย
อาจารย์กั๋วเรียกซุนลู่ถังให้เข้ามานั่งใกล้ ๆ ท่าน และพูดกับเขาว่า
“ลู่ถัง สภาพความเป็นอยู่ของอาจารย์ในคุกก็เป็นอย่างที่เจ้าเห็นนั่นแหละ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงอาจารย์หรอกและไม่ต้องมาเยี่ยมอาจารย์อีก อาจารย์ขอสั่งให้เจ้าออกไปจากเมืองนี้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป”
“ทำไมล่ะครับอาจารย์ ผมอยากอยู่ใกล้ๆ อาจารย์คอยดูแลปรนนิบัติอาจารย์นะครับ”
“ลู่ถังเวลาเป็นของมีค่า เจ้าจะต้องไม่ให้วันเวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์... นี่เจ้าคิดจะขัดคำสั่งอาจารย์รึเจ้าศิษย์อกตัญญู”
อาจารย์กั๋วผุดลุกขึ้นสีหน้าแดงจัด ในช่วงเวลาที่ซุนลู่ถังร่ำเรียนวิทยายุทธ์จากอาจารย์กั๋วเป็นเวลาถึง 8 ปีนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนอาจารย์ดุด่า
“ตกลงผมจะเดินทางไปจากที่นี่ ในตอนรุ่งเช้าของวันพรุ่งนี้ครับอาจารย์”
อาจารย์กั๋วหยิบจดหมายที่ท่านเขียนไว้จากอกเสื้อหนึ่งฉบับยื่นให้แก่ซุนลู่ถังพร้อมกับกล่าวว่า
“ตอนนี้อาจารย์ตงไห่ชวนชราภาพมากแล้วไม่สามารถสอนศิษย์ได้ แต่อาจารย์เฉิงถิงหัวศิษย์เอกของอาจารย์ตงไห่ชวนยังเปิดสำนักวิชามวยฝ่ามือ 8 ทิศอยู่ที่กรุงปักกิ่ง เจ้าจงนำจดหมายแนะนำตัวของอาจารย์ฉบับนี้ไปหาอาจารย์เฉิงถิงหัว ขอเป็นศิษย์และร่ำเรียนวิชาฝ่ามือ 8 ทิศ จากท่าน อาจารย์หวังว่าเจ้าจะสามารถหลอมรวมข้อดีของวิชาสายต่างๆ ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและสืบทอดเจตนารมณ์พิทักษ์คุณธรรมของพวกเราชาวยุทธ์สืบไป ซุนลู่ถังเจ้าจะต้องรู้ไว้ด้วยนะว่าเจ้าเป็นความหวังของอาจารย์”
“ครับ อาจารย์”
ซุนลู่ถังจำใจจากอาจารย์กั๋วผู้เป็นที่รักและเคารพของเขาอย่างปวดร้าวใจ เขาเฝ้าถามตัวเองว่า คนที่อาจารย์ฆ่าล้วนเป็นคนที่สมควรตายทั้งสิ้น แต่ทำไมท่านกลับถูกจับเข้าคุก ใช่หรือไม่ว่าโลกนี้มันวิปริตไปหมดแล้วความเป็นธรรมที่แท้จริงอยู่ที่ไหนกันแน่?
ตอนที่ 6
หลังจากที่ซุนลู่ถังลาจากอาจารย์กั๋วแล้ว เขาได้เดินทางกลับไปเยี่ยมมารดาของเขาและครอบครัวของท่านจางที่เมืองเป่าติ้ง ทุกคนดีใจมากที่ได้พบซุนลู่ถังอีกครั้งหลังจากที่ไม่ได้พบกันมาถึง 8 ปีเต็ม จางเจ้าเสียนคู่หมั้นของซุนลู่ถังบัดนี้โตเป็นสาวสวยแล้ว แม้เธอจะตื่นเต้นดีใจมากที่ได้พบกับซุนลู่ถังอีก แต่ความขวยอายของวัยสาวทำให้เธอหน้าแดงเอาแต่ก้มหน้าแทบไม่ได้เอ่ยปากพูดคุยกับซุนลู่ถังเลย แต่เป็นที่น่าเสียดายที่อาจารย์ลี้ขุ่ยหยวนได้อพยพกลับไปอยู่บ้านเกิดของท่านและเลิกทำงานคุ้มกันแล้ว
ก่อนที่อาจารย์ลี้จะจากเมืองเป่าติ้งไป ท่านได้พูดกับท่านจางว่า เมื่อไหร่ที่ซุนลู่ถังร่ำเรียนวิทยายุทธ์สำเร็จกลับมาขอให้ท่านจางจัดพิธีแต่งงานระหว่างซุนลู่ถังกับจางเจ้าเสียนได้เลย ดังนั้นเมื่อซุนลู่ถังกลับมาแล้ว ท่านจางจึงปรึกษากับภรรยาของท่านเรื่องที่จะให้ทั้ง 2 คนแต่งงานกัน หลังจากนั้นแล้วท่านจะช่วยซุนลู่ถังก่อตั้งสำนักมวยขึ้นที่เมืองนี้เพื่อให้เขายึดเป็นอาชีพ เมื่อท่านจางบอก ความคิดของท่านให้มารดาของซุนลู่ถังรับทราบ นางเห็นด้วยจึงรีบบอกเรื่องนี้แก่เขา แต่ซุนลู่ถังบอกถึงคำสั่งของอาจารย์กั๋วให้มารดาของเขาทราบ และตัวเขาเองก็มีความมุ่งมั่นที่จะฝึกปรือวิทยายุทธ์ของตัวเองให้สูงส่งกว่านี้ เขาจึงต้องการเลื่อนวันแต่งงานออกไปก่อน
ท่านจางเมื่อได้รับทราบความมุ่งมั่นของซุนลู่ถังท่านจึงไม่ขัดข้อง ตัวจางเจ้าเสียนเองก็เข้าใจในตัวคนรักของนาง ตกลงพิธีแต่งงานของทั้งคู่จึงถูกเลื่อนออกไปก่อน อย่างไรก็ตามในช่วงเวลา 10 กว่าวันที่ซุนลู่ถังพำนักอยู่ที่เมืองเป่าติ้ง ท่านจางได้จัดพิธีหมั้นอย่างเป็นทางการให้แก่ซุนลู่ถังกับบุตรสาวของท่าน และยังเชิญมารดาของเขาให้เข้ามาอยู่ในบ้านดุจครอบครัวเดียวกัน ตัวจางเจ้าเสียนเองก็ปฏิบัติต่อมารดาของซุนลู่ถังดุจมารดาแท้ๆ ของนาง ทำให้ ซุนลู่ถังหมดกังวลใดๆ วันรุ่งขึ้นเขาจึงแบกสัมภาระออกเดินทางคนเดียวไปที่เมืองปักกิ่งเพื่อไปหาอาจารย์เฉิงถิงหัว
อาจารย์เฉิงถิงหัวเป็นชาวมณฑลหูเป่ยท่านรักการฝึกฝนวิทยายุทธ์ตั้งแต่เด็ก ก่อนที่ท่านจะเดินทางไปเมืองหลวงปักกิ่งเพื่อเรียนวิชามวยฝ่ามือ 8 ทิศจากปรมาจารย์ตงไห่ชวนนั้นความจริงท่านก็มีวิชาฝีมือสูงล้ำอยู่แล้ว ครั้นได้ศึกษาแก่นแท้ของวิชาฝ่ามือ 8 ทิศวิทยายุทธ์ของท่านก็ยิ่งรุดหน้ายิ่งขึ้นไปอีก อาจารย์เฉิงถิงหัวเป็นหนึ่งในศิษย์เอกจำนวนไม่กี่คนของปรมาจารย์ตงไห่ชวนที่สามารถสืบทอดวิทยายุทธ์จากอาจารย์ของตนได้จนหมดสิ้น อุปนิสัยของอาจารย์เฉิงเป็นคนซื่อตรงเปิดเผยยึดมั่นถือมั่นในคุณธรรม ท่านเปิดร้านขายแว่นตาเลี้ยงชีพอยู่ในกรุงปักกิ่ง ผู้คนทั่วไปจึงเรียกท่านว่า ‘เฉิงแห่งร้านแว่นตา’
ภายหลังจากที่ปรมาจารย์ตงไห่ชวนได้จากโลกนี้ไปแล้ว อาจารย์เฉิง ได้ปรับปรุงวิชาฝ่ามือ 8 ทิศของท่านจนกลายเป็น ‘สายตระกูลเฉิง’ พร้อมกับเปิดสาขาสำนักตามที่ต่างๆ ในกรุงหลายแห่ง รับลูกศิษย์ลูกหามาร่ำเรียนวิชามวยของท่านในวงกว้าง ตอนที่ซุนลู่ถังมาถึงร้านขายแว่นตาของอาจารย์เฉิงนั้น ท่านไม่อยู่ที่ร้านเพราะกำลังออกไปสอนมวยอยู่ที่สาขาหนึ่งในกรุงปักกิ่ง เขาจึงตัดสินใจเดินทางไปที่สำนักสาขาของอาจารย์เฉิงแห่งนั้น เมื่อเดินไปถึงบริเวณที่ได้ฟังมาว่าเป็นที่ตั้งของสำนักสาขาของอาจารย์เฉิง ก็ได้พบเยาวชนกลุ่มหนึ่งจำนวน 10 กว่าคนกำลังฝึกวิทยายุทธ์อยู่ที่ลาน กว้างหน้าตึก ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเขาจึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ และได้เห็นหญิงสาวในวัยแรกรุ่นคนหนึ่งกำลังร่ายรำมวยชุดหนึ่งเป็นวงกลมที่มีการแปรเปลี่ยนอ่อนช้อยคล่องแคล่วอย่างสุดจะบรรยาย นี่คงจะเป็นวิชาฝ่ามือ 8 ทิศอันลือลั่นไปทั่วยุทธจักรเป็นแน่ ซุนลู่ถังระงับความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่ จึงเผลอตบมือร้องชมเชยออกมา
“เป็นมวยที่วิเศษจริง ๆ”
หญิงสาวหันกลับมามองซุนลู่ถังด้วยความประหลาดใจ เขารู้สึกตัวว่า พลั้งปากเสียมารยาทไป ขณะที่จะกล่าวขอโทษก็ได้ยินเสียงตวาดจากชายหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มเดียวกับหญิงสาว
“แกเป็นใครคิดจะมาหาเรื่องพวกเราถึงที่นี่เชียวหรือ” ชายหนุ่มร่างใหญ่คนนี้มองซุนลู่ถังด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร
“ผมชื่อซุนลู่ถัง มาจากมณฑลหูเป่ยครับ ผมชื่นชมในกิตติศัพท์ของท่านอาจารย์เฉิงถิงหัวมากจึงคิดจะมากราบท่านและขอเป็นศิษย์ เมื่อสักครู่ ผมได้เห็นสุภาพสตรีท่านนี้ร่ายรำมวยที่สวยงามจึงคิดว่าที่นี่จะต้องเป็นบ้านและสำนักของท่านอาจารย์เฉิงอย่างแน่นอนใช่มั้ยครับ”
ชายหนุ่มร่างใหญ่กวาดสายตามองซุนลู่ถังตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาเห็นซุนลู่ถังรูปร่างเล็กผอมกว่าตัวเขามาก มิหนำซ้ำยังแต่งตัวปอนๆ ดุจคนบ้านนอกที่เพิ่งเข้ากรุงจึงเกิดความดูแคลนในใจ
“ถูกแล้ว ที่นี่คือบ้านของอาจารย์เฉิงและฉันคือลูกศิษย์ของท่าน แกก็มีสายตาไม่เลวนี่”
“ถ้าเช่นนั้นขอความกรุณาศิษย์รุ่นพี่ พาผมไปหาท่านอาจารย์จะได้มั้ยครับ”
“แกนึกว่าอาจารย์เฉิงของพวกเราจะรับศิษย์สะเปะสะปะหรือ ขอถามหน่อยว่า ก่อนที่แกคิดจะมาฝากตัวเป็นศิษย์ของอาจารย์เฉิง แกได้ฝึกวิทยายุทธ์สายไหนมาบ้างแล้วและฝึกมานานแค่ไหนกัน”
ซุนลู่ถังชักรู้สึกฉุนที่ชายหนุ่มร่างใหญ่คนนี้ยโสโอหังเหลือเกิน เขาจึงแกล้งตอบไปว่า
“ผมหัดมวยต่างๆ ด้วยตัวเองโดยไม่มีครูครับ”
“ถ้าเช่นนั้นแกรู้หรือเปล่าว่าตามธรรมเนียมของเมืองนี้ คนที่อยากสมัครเป็นศิษย์จะต้องถูกทดสอบฝีมือด้านการทดลองประมือกับศิษย์ในสำนักนั้นก่อน”
“ขอได้รับการสั่งสอนจากศิษย์รุ่นพี่ด้วยครับ”
“เหวินเปียว อย่าเสียมารยาทต่อแขก”
หญิงสาวพยายามห้ามปรามไม่ให้ชายหนุ่มร่างใหญ่ที่ชื่อ ลี้เหวินเปียว แกล้งซุนลู่ถังแต่ช้าไปเสียแล้ว ฝ่ามือของเหวินเปียวได้โจมตีเข้าใส่ใบหน้าของซุนลู่ถังแล้ว แต่ซุนลู่ถังเคลื่อนไหวปราดเปรียวราวกับลิง หลบฝ่ามือของชายหนุ่มคนนั้นอย่างง่ายดาย เมื่อหญิงสาวเห็นซุนลู่ถังมีฝีมือเกินคาดเช่นนี้ เธอจึงปล่อยให้คนทั้งสองประลองฝีมือกันและยืนชมด้วยความสนใจ ชายหนุ่มที่ชื่อ เหวินเปียวได้โจมตีซุนลู่ถังไปกว่า 10 ฝ่ามือแล้ว แต่ซุนลู่ถังเอาแต่ขยับตัวหนี ไม่ตอบโต้เลยแม้แต่ครั้งเดียว หญิงสาวเห็นเช่นนั้นจึงบอกกับซุนลู่ถังว่าเชิญโจมตีกลับไปได้ไม่ต้องเกรงใจ หากไม่ประลองฝีมือกันแล้วจะเป็นเพื่อนกันได้อย่างไรเล่า เมื่อได้ฟังเช่นนั้นซุนลู่ถังจึงเริ่มโต้ตอบกลับไปบ้าง พอชายหนุ่มร่างใหญ่เห็นหมัดแรกที่บุกเข้ามาของซุนลู่ถังก็รู้ว่าไม่ธรรมดา จึงพลิกตัวหลบไปด้านหลังและฟาดฝ่ามือตอบ ซุนลู่ถังหมุนตัวกลับโจมตีด้วยหมัดและเท้าในท่า ‘แมวไต่ต้นไม้’ อันลือชื่อของมวยสิ่งอี้ ชายหนุ่มคนนั้นถึงกับผงะและ กระโดดหนี ซุนลู่ถังไม่รอช้าใช้ท่า ‘งู’ ของมวยสิ่งอี้ติดตามไปราวกับลูกธนูพร้อมกับต่อยไปเบาๆ ที่กลางหลังของชายหนุ่มคนนั้นจนล้มลงไป
ซุนลู่ถังจะเข้าไปพยุง แต่ชายหนุ่มที่ชื่อเหวินเปียวไม่ยอมทำท่าจะสู้ต่อ ก็พอดีมีชายร่างใหญ่เคราดำหน้าปรุพรุนปรากฎตัวขึ้น เหวินเปียวดีใจรีบบอกกับชายร่างใหญ่เคราดำหน้าปรุพรุนคนนี้ว่า
“พี่จูเสียง ช่วยจัดการเจ้าหมอนี่แทนผมที”
ชายเคราดำหน้าปรุพรุนที่ชื่อจูเสียงไม่ฟังอีร้าค่าอีรม กระโจนเข้าโจมตีซุนลู่ถังทันที ในระหว่างที่คน 2 คนนี้กำลังประมือกันโดยไม่รู้ผลแพ้ผลชนะ ชายวัยกลางคนอายุราวๆ 50 ปีเศษ ได้ปรากฎตัวออกมายืนชมการต่อสู้ของคน 2 คนนี้ด้วย ชายกลางคนผู้นี้รูปร่างสันทัดไม่สูงไม่เตี้ย ไม่อ้วน ไม่ผอม คิ้วหนา หน้าผากกว้าง ดวงตามีประกาย หญิงสาวเหลือบเห็นชายวัยกลางคนผู้นั้นก็มีความยินดีจะเอ่ยปากพูดอะไรออกมา แต่ถูกชายกลางคนผู้นั้นยกมือขึ้นห้าม และทำท่าบอกให้ดูการประลองระหว่างซุนลู่ถังกับจูเสียงต่อไป ไม่ช้าซุนลู่ถังก็สามารถใช้หมัดของเขาต่อยจูเสียงจนปลิวไปกระแทกกับต้นไม้ ผู้คนที่กำลังชมการประลองฝีมืออยู่ถึงกับตบมือให้ซุนลู่ถังด้วยความชื่นชม
“นี่มันมวยอะไรกันแน่ เราไม่เคยเจอมาก่อนเลย” จูเสียงส่ายหัวไปมา ด้วยความพิศวงในวิชามวยของซุนลู่ถัง
“ฮา..ฮา..ฮา..นี่แหละคือ มวยสิ่งอี้ของงักฮุยละ” ชายวัยกลางคนผู้นั้นตบมือหัวเราะออกมาด้วยเสียงอันดังก่อนที่จะพูดกับซุนลู่ถังว่า “มวยสิ่งอี้ ของเธอมีความละเอียดพิสดารมาก แสดงว่าต้องได้ร่ำเรียนมาจากอาจารย์ที่เป็นยอดฝีมือ ฉันสงสัยว่าเธอจะเป็นศิษย์ของอาจารย์กั๋วหยุ่นเซินใช่หรือไม่”
ซุนลู่ถังเดาได้ทันทีว่าชายวัยกลางคนผู้นี้จะต้องเป็นอาจารย์เฉิงถิงหัว ที่เขาต้องการมากราบคารวะขอเป็นศิษย์อย่างแน่นอน เขาจึงคุกเข่าลงกับพื้นใช้ศีรษะโขกพื้นคำนับ 3 ครั้ง พร้อมกับพูดว่า
“ถูกแล้วครับ ผมเป็นศิษย์ของอาจารย์กั๋วหยุ่นเซินครับ ท่านจะต้องเป็นอาจารย์เฉิงถิงหัวเป็นแน่ ผมนับถือในกิตติศัพท์ของอาจารย์มานานแล้ว จึงเดินทางมายังเมืองหลวงนี่เพื่อคารวะและขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ของท่านอาจารย์ครับ”
อาจารย์เฉิงพอใจหน่วยก้านของซุนลู่ถังตั้งแต่แรกพบแล้ว ท่านรีบไปประคองซุนลู่ถังให้ลุกขึ้นยืนพร้อมกับแนะนำลูกศิษย์ของท่านที่ชื่อลี้หวินเปียว กับจูเสียงให้รู้จักกับซุนลู่ถังและลืมเรื่องผิดใจกันเมื่อครู่ ส่วนหญิงสาวคนนั้น เธอชื่อเฉิงเฟิงจวนเป็นหลานสาวของอาจารย์เฉิงถิงหัวผู้มีศักดิ์เป็นลุง หลังจากนั้นอาจารย์กั๋วได้พาซุนลู่ถังและศิษย์คนอื่นเข้าไปในบ้านพักของท่าน ในขณะที่เดินผ่านสวนข้างในบ้านนั้นซุนลู่ถังเหลือบเห็นตอไม้สูงหลายต้นปักอยู่เรียงราย คงใช้เป็นที่ฝึกวิชาฝ่ามือ 8 ทิศ
ภายหลังจากที่รับประทานอาหารค่ำร่วมกันเสร็จแล้ว อาจารย์เฉิงได้เล่าประวัติของปรมาจารย์ตงไห่ชวนในช่วงที่ท่านคิดค้นวิชาฝ่ามือ 8 ทิศขึ้นมาได้ให้ซุนลู่ถังฟังว่า
“ปรมาจารย์ตงไห่ชวนเป็นชาวเมืองเหวินอัน มณฑลหูเป่ย ท่านศึกษาวิทยายุทธ์หลายแขนงตั้งแต่เด็กจนมีฝีมือที่ไม่ธรรมดาตั้งแต่อยู่ในวัยหนุ่ม ครั้นเมื่อย่างเข้าสู่วัยกลางคนท่านต้องการยกระดับวิชาฝีมือของตัวเองให้สูงขึ้นอีกขั้นหนึ่ง จึงออกท่องเที่ยวยุทธจักรเสาะหาผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งยุค ครั้นท่านกำลังปีนขึ้นภูเขาจิ่วหัวซานที่เจียงหนานอยู่นั้นท่านได้พบนักพรตรุ่นเยาว์คนหนึ่งกำลังฝึกท่าใช้ฝ่ามืออยู่บนชะง่อนหินใหญ่ในท่วงทำนองที่สะดุดตาแปลกใหม่ อย่างที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน จึงเข้าไปไต่ถามและขอประมือด้วยปรากฎว่า อาจารย์ตงไห่ชวนพ่ายแพ้ต่อนักพรตรุ่นเยาว์ผู้นี้อย่างราบคาบ ท่านจึงขอร้องให้นักพรตรุ่นเยาว์ผู้นี้พาท่านไปพบกับอาจารย์ของเขา อาจารย์ตงไห่ชวนได้พบกับนักพรตเต๋าผู้เป็นสุดยอดของวิชาฝีมือที่อารามบนเขาจิ่วหัวซานนั่นเอง นักพรตเต๋าผู้นี้มีผมสีขาวแต่ใบหน้ากลับดูอ่อนเยาว์ ดวงตาส่องประกายความเป็นยอดคน อาจารย์ตงไห่ชวนจึงคุกเข่ากราบกรานเป็นศิษย์เรียนวิชาฝีมือจากนักพรตท่านนั้นเป็นเวลาหลายปีจึงสำเร็จลงจากภูเขา หลังจากนั้นท่านได้ค้น คว้าเพิ่มเติมจนกระทั่งคิดค้นวิชามวยที่ชื่อฝ่ามือ 8 ทิศออกมาได้เป็นผลสำเร็จ”
ยิ่งซุนลู่ถังได้ฟังจากปากอาจารย์เฉิงถิงหัวเล่าถึงความเป็นมาของมวย ฝ่ามือ 8 ทิศ เขาก็ยิ่งกระตือรือร้นที่จะฝึกวิชานี้มากกว่าเก่าเป็นทวีคูณ ซุนลู่ถังจึงตั้งอกตั้งใจฝึกฝนวิชา 8 ทิศของอาจารย์เฉิงตั้งแต่เช้าจรดเย็น มิได้ขาด ตัวอาจารย์เฉิงเองก็ถ่ายทอดเคล็ดวิชาฝ่ามือ 8 ทิศของท่านให้แก่ซุนลู่ถังโดยไม่ปิดบัง ท่านถึงกับมอบบันทึกที่ท่านเขียนไว้ในช่วงที่ท่านกำลังฝึก วิชาฝ่ามือ 8 ทิศกับปรมาจารย์ตงไห่ชวนให้ซุนลู่ถังไว้ค้นคว้าศึกษา ท่านบอกกับเขาว่า
“ซุนลู่ถังนับตั้งแต่ที่อาจารย์ได้รู้จักเจ้าอาจารย์ก็รู้สึกเอ็นดูเจ้ามาก เพราะจุดเด่นที่สุดในตัวของเจ้านั้นก็คือ เจ้าไม่เพียงแต่มีวิทยายุทธ์ที่สูงเท่านั้น แต่เจ้ายังมีความสามารถในการเขียนหนังสือที่ลึกซึ้งด้วยเช่นกัน การที่คนเราจะมีคุณสมบัติ 2 ประการเช่นนี้อยู่ในตัวคนคนเดียวมิใช่เรื่องง่ายเลย อาจารย์จึงตั้งความหวังไว้กับตัวเจ้ามากเลยรู้มั้ย และอาจารย์หวังว่าเจ้าจะไม่ละทิ้งปณิธานอันนี้ของเจ้าที่จะเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญทั้งบู๊และบุ๊น”
ยิ่งได้ฟังอาจารย์เฉิงพูดเช่นนี้ ซุนลู่ถังก็ยิ่งมุมานะในการฝึกมวยฝ่ามือ 8 ทิศยิ่งขึ้นไปอีก ในการฝึกท่าเท้า 9 วิหารของวิชานี้เขาต้องแบกถังน้ำ 2 ถังควบคู่ไปกับการเดินด้วยเพื่อเพิ่มกำลังแขน ในช่วงแรกๆ ที่ซุนลู่ถังฝึกแบบนี้ เหงื่อเขาออกโทรมกายและน้ำก็กระฉอกจากถัง ลี้เหวินเปียวกับจูเสียงเห็นเข้าถึงกับหัวร่องอหาย แต่ครั้นพอเห็นซุนลู่ถังยังมุมานะฝึกเช่นนี้ต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อนทั้งคู่ก็เกิดความละอายและหันมาฝึกด้วยวิธีการนี้เช่นเดียวกับซุนลู่ถังบ้าง
เวลาผ่านไปดุจปีกบิน ซุนลู่ถังได้มาฝึกวิชาฝ่ามือ 8 ทิศกับอาจารย์เฉิงเป็นเวลาถึง 2 ปีแล้ว จนบัดนี้เขามีความเชี่ยวชาญในมวยชนิดนี้อย่างหาตัวจับยาก นอกจากนี้เขายังได้เรียนวิชาจี้จุดจากอาจารย์เฉิงเพิ่มเติมจากที่ร่ำเรียนมาจากอาจารย์กั๋วด้วย สำนักมวยของอาจารย์เฉิงมักจะมีผู้มีวิชาฝีมือจากทั่วทิศมาเยี่ยมเยียนและขอทดสอบวิชาอยู่เสมอมิได้ขาด เมื่ออาจารย์เฉิงเห็นซุนลู่ถังมีฝีมือรุดหน้าเร็วมากเช่นนี้ท่านจึงสั่งให้เขาออกไปประลองฝีมือกับนักมวยจากสำนักอื่นแทนตัวท่านอยู่เสมอ เพื่อที่เขาจะได้มีโอกาสประยุกต์ใช้วิชาที่ร่ำเรียนมา เพราะฉะนั้นในช่วงหลายเดือนมานี้ซุนลู่ถังจึงมีโอกาสประมือกับยอดฝีมือจากสำนักต่างๆ ไม่ว่ามวยตระกูลหงของเส้าหลิน มวยลิง มวยตั๊กแตน มวยใต้ มวยถงปี้ เหล่านี้เป็นต้น และก็ไม่มีชาวยุทธ์คนไหนสามารถเอาชนะซุนลู่ถังได้เลย ชื่อเสียงของซุนลู่ถังจึงแผ่กระจายไปทั่วกรุงปักกิ่งในฐานะเป็น ‘จอมยุทธ์ผู้ได้ทั้งบู๊และบุ๋น’ เมื่อซูนลู่ถังร่ำเรียนวิชาฝ่ามือ 8 ทิศกับอาจารย์เฉิงได้ครบ 3 ปีเต็ม เขาก็สามารถเรียนรู้แก่นแท้ของวิชานี้ได้จนหมดสิ้น อาจารย์เฉิงเห็นเช่นนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริมศิษย์รักให้หูตากว้างขวาง ท่านจึงแนะนำให้เขาออกไปท่องเที่ยวโลกกว้างหาประสบการณ์ต่างๆ เพิ่มเติม
ซุนลู่ถังออกไปท่องยุทธจักรอีก 2 ปีเต็มจึงเดินทางกลับบ้านเกิดและแต่งงานอยู่กินกับจางเจ้าเสียนอย่างมีความสุขและเปิดสำนักมวยที่นั่น
4 ปีต่อมากองทัพต่างชาติจาก 8 ประเทศยึดเมืองเทียนสินได้และกำลังยกพลเข้าบุกเมืองหลวงปักกิ่ง ซุนลู่ถังได้ทราบเรื่องนี้จากชาวเมืองที่อพยพหนีออกมาจึงเกิดความรู้สึกเป็นห่วงอาจารย์เฉิงและพี่น้องร่วมสำนัก พอดีในขณะนั้นเกิด ‘กบฏนักมวย’ ที่เป็นการรวมตัวของชาวยุทธ์ที่รักชาติ เพื่อต่อต้านการรุกรานของต่างชาติ ซุนลู่ถังจึงตัดสินใจเดินทางไปกรุงปักกิ่งเพื่อช่วยเหลืออาจารย์ของตนต่อสู้กับพวกจักรวรรดินิยม ทั้งๆ ที่ในขณะนั้น จางเจ้าเสียนภรรยาของเขาได้ตั้งท้องอ่อนๆ แล้ว
เมื่อซุนลู่ถังไปถึงกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงแห่งนี้ได้ถูกกองทัพต่างชาติโจมตีจนแตกพ่ายเป็นวันที่ 2 แล้ว แต่อาจารย์เฉิงและศิษย์ร่วมสำนักก็ยังคงยืนหยัดต่อสู้อยู่ที่นั่น ซุนลู่ถังต้องปะทะกับกองทหารเยอรมันหลายสิบคน เขาได้ใช้กระบี่ของเขาสังหารพวกทหารเยอรมันไปร่วม 10 คน กว่าจะฝ่าวงล้อมไปเจออาจารย์เฉิงและพี่น้องร่วมสำนักได้เป็นผลสำเร็จ สถานการณ์ยิ่งคับขันยิ่งขึ้นทุกที ในที่สุดอาจารย์เฉิงได้เรียกศิษย์ทุกคนที่ยังเหลืออยู่มาชุมนุมกันที่ห้องโถงพร้อมกับสั่งเสียว่า
“ดูท่าพวกเราจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้วละ น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ เราคงต้องฝ่าวงล้อมของพวกต่างชาติออกไปตั้งป้อมต่อสู้ใหม่ที่แห่งอื่น อาจารย์แก่แล้วคงมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ไม่ได้นานนัก ส่วนพวกเธอคืออนาคตของชาติเรา วิทยายุทธ์ของอาจารย์นั้นอาจารย์ก็ได้ถ่ายทอดให้พวกเธอไปจนหมดสิ้นแล้ว เพราะฉะนั้นอาจารย์จะเป็นคนยันพวกทหารต่างชาติไว้ที่นี่เอง ขอให้พวกเธอแยกย้ายกันหลบหนีไปจากเมืองนี้โดยเร็ว”
“ไม่ครับ พวกเราจะอยู่ต่อสู้กับต่างชาติเคียงข้างกับอาจารย์ครับ พวกเรายินดีตายพร้อมกับอาจารย์ครับ”
“เหลวไหล! ถ้าพวกเจ้าไม่เชื่อฟังคำสั่งของอาจารย์ในขณะนี้ อาจารย์ก็จะตัดขาดความเป็นศิษย์อาจารย์กับพวกเจ้าทันที”
ทุกคนน้ำตาไหลอาบแก้ม เมื่อได้ยินอาจารย์เฉิงพูดเช่นนั้น
“อาจารย์ครับ” ซุนลู่ถังคุกเข่าต่อหน้าอาจารย์ ลูกศิษย์คนอื่นคุกเข่าตามและกราบคารวะอาจารย์ของตนด้วยจิตเคารพบูชาสูงสุด
อาจารย์เฉิงได้ใช้ดาบผีเสื้อคู่ของท่านสังหารพวกทหารรัสเซียล้มตายไปร่วม 30 กว่าคนก่อนที่ตัวท่านจะถูกระดมยิงด้วยปืนยาวจนเสียชีวิต เพื่อเปิดโอกาสให้ซุนลู่ถังกับศิษย์ร่วมสำนักที่รอดตายไม่กี่คนได้ตีฝ่าวงล้อมไปทางทิศใต้
ตามถนนหนทางในกรุงปักกิ่ง ขณะนี้เนืองแน่นไปด้วยกองทหารต่างชาติที่กำลังตามล่าพวก ‘กบฎนักมวย’ ซึ่งรวมถึงพวกของซุนลู่ถ้งด้วย เนื่องจากซุนลู่ถังและศิษย์ร่วมสำนักที่เหลืออีก 7 คนมีลี้เหวินเปียว เฉิงเฟิงจวน จูเสียง และศิษย์อื่นๆ อีก 4 คนต่างล้วนมีวิชาตัวเบา ทั้งหมดจึงเคลื่อนไหวไต่ไปตามหลังคาโดยนัดแนะให้แยกย้ายกันไป แล้วไปพบกันที่เชิงกำแพงเมืองด้านใต้ ครั้นเมื่อได้ถึงเชิงกำแพงเมืองด้านใต้ปรากฎว่ามีผู้สามารถรอดชีวิตไปถึงที่นั่น เพียง 4 คนเท่านั้น คือ ซุนลู่ถัง ลี้เหวินเปียว เฉิงเฟิงจวน และจูเสียง ส่วนอีก 4 คน ถูกปืนของทหารต่างชาติยิงตกลงมาในระหว่างทาง
ในบรรดา 4 คนที่เหลือนี้ มีจูเสียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับอาการบาดเจ็บ เพราะถูกกระสุนเข้าที่ขาซ้าย คงยากที่จะปีนกำแพงเมืองข้ามออกไปได้ จูเสียงจึงตัดสินใจที่จะคอยคุ้มกันพวกซุนลู่ถังทั้งสามอยู่ที่เบื้องล่างเพราะพวกทหารต่างชาติกำลังยกพวกตาม มาทันแล้ว การเสียสละชีวิตของจูเสียงเอาตัวเองเข้าขวางพลปืนของทหารต่างชาติทำให้พวกซุนลู่ถังสามารถหลบหนีออกจากกำแพงเมืองปักกิ่งมาได้อย่างหวุดหวิด โชคเข้าข้างซุนลู่ถังและพวกที่ทหารม้าญี่ปุ่น 5 นายกำลังขี่ม้าขนสมบัติที่เข้าไปปล้นมาได้ออกไปจากเมืองพอดี ซุนลู่ถังและพวกจึงแย่งชิงม้ามาจากทหารญี่ปุ่นหลบหนีออกมาไกลได้
เมื่อทั้ง 3 คนหันหน้ากลับไปมองกรุงปักกิ่งจากที่ไกล ก็เห็นแต่ควันไฟ ลอยขึ้นมาเหนือฟ้าน่าสลดใจยิ่งนัก
“ไปกันเถอะ พวกเรากลับไปตั้งหลักสะสมกำลังรอคอยโอกาสที่บ้านนอกของพวกเราก่อนเถอะ”
ซุนลู่ถังพาลี้เหวินเปียวกับเฉิงเฟิงจวนกลับมายังบ้านเกิดของเขาและร่วมกันพัฒนาสำนักมวยของซุนลู่ถังที่เพิ่งก่อตั้งเมื่อ 4 ปีก่อน เพื่อสร้างคน และรอคอยโอกาสกู้ชาติให้พ้นไปจากเงื้อมมือของพวกจักรวรรดินิยมต่างชาติ
ตอนที่ซุนลู่ถังกลับไปถึงบ้านเกิดหยกๆ นั้น เขาก็ได้รับจดหมายแจ้งให้ทราบว่าอาจารย์กั๋วหยุ่นเซินได้เสียชีวิตด้วยโรคชราแล้วเช่นกัน ซุนลู่ถังได้สูญเสียอาจารย์ผู้มีพระคุณไปถึง 2 ท่านในเวลาไล่เลี่ยกัน
ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป มันเป็นยุคของพวกเขาที่จะต้องสร้างสำนักสืบทอดเจตนารมณ์ของอาจารย์ของ พวกตนต่อไป
ตอนที่ 7 [จบ]
ตามที่ได้ทราบมาจากประวัติของจอมยุทธ์ซุนลู่ถังนั้น จอมยุทธ์ผู้นี้น่าจะเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในมวยสิ่งอี้ (เจตรูป) กับมวยฝ่ามือ 8 ทิศมากกว่า แต่ทำไมผู้คนในยุคปัจจุบันจึงรู้จักจอมยุทธ์ท่านนี้ในฐานะที่เป็นผู้ก่อตั้งมวยไท้เก๊กสายสกุลซุนเท่านั้น
อาจเป็นเพราะซุนลู่ถังเพิ่งได้มีโอกาสเรียนมวยไท้เก๊กเมื่อตอนเขาย่างสู่วัยกลางคนแล้ว เนื่องจากครั้งหนึ่งซุนลู่ถังได้มีโอกาสไปช่วยชีวิตของครูมวยชราคนหนึ่งที่ล้มป่วยด้วยโรคระบาดจึงพามาดูแลที่บ้านเป็นอย่างดี โดยหารู้ไม่ว่าครูมวยชราคนนั้นคืออาจารย์หลี่เว่ยชินซึ่งเป็นศิษย์ของหลี่อี้อยู่ และหลี่อี้อยู่ก็เป็นศิษย์ของอาจารย์อู๋หยู่เซียงอีกทีหนึ่ง เมื่อาจารย์หลี่เว่ยชินหายป่วยแข็งแรงดังเดิมแล้ว ท่านจึงถ่ายทอดวิชามวยไท้เก๊กของท่านให้แก่ซุนลู่ถังอย่างหมดไส้หมดพุงเพื่อเป็นการตอบแทนความมีน้ำใจของเขา
มวยไท้เก๊กของอาจารย์หลี่เว่ยชินแปลงมาจากมวยไท้เก๊กวงแคบสกุลเฉิน แต่ละกระบวนท่าไม่สูงไม่ต่ำ เน้นการพัฒนา ‘ความผ่อนคลาย’ เพื่อ ให้เข้าถึง ‘ความอ่อน’ และใช้ความอ่อนสุดเพื่อให้เกิดความแข็งสุดในภายหลัง ในท่ามกลางความผ่อนคลายและความสงบจะถึงพร้อมด้วยการเปิด การปิด การซ่อน และ การเผย
การเปิด หมายถึงเปิดกว้างทุกสิ่งในขณะฝึกฝนมวยอยู่ ทำได้โดยมีความรู้สึกให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อและข้อต่อต่างๆ ทั่วร่างกาย การเปิดเช่นนี้ จะทำให้สามารถ ‘ปล่อย’ พลังจิ้งออกมาได้ โดยผู้ฝึกจะเปิดเผยการปล่อยพลังนี้ออกมาจากภายในให้เห็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ส่วนการปิด หมายถึงการรวมทุกสิ่งเข้าด้วยกันในขณะฝึกฝนมวยอยู่ ทำได้โดยมีความรู้สึกให้หดกล้ามเนื้อและข้อต่อต่างๆ ทั่วร่างกาย การปิดเช่นนี้ จะเป็นการกระตุ้นกระบวนท่าร่างโดยผู้ฝึกจะปิดการเคลื่อนพลังเอาไว้ภายในร่างกาย
ข้อเด่นของมวยไท้เก๊กของอาจารย์หลี่เว่ยชินจึงอยู่ที่ใช้การแปรเปลี่ยนของการเปิดกับการปิดในการเคลื่อนไหวร่ายรำมวย การเปิดคือหยาง การปิด คือหยิน การเคลื่อนไหวเพื่อยืดคือหยาง การสงบนิ่งเพื่อหดคือหยิน เปิด ปิด เคลื่อนไหว สงบนิ่ง มาจากลมปราณที่กลมกลืน ลมปราณที่กลมกลืนโดยปกติ จะแฝงอยู่อย่างเต็มเปี่ยมที่มือที่เท้าซึมซาบเข้าไปภายในไขกระดูกไหลเวียนไป ทั่วร่างกายอย่างสม่ำเสมอไม่หยุดหย่อน
อาจารย์หลี่เว่ยชินได้บอกกับซุนลู่ถังว่า
“ความพิสดารในการบำรุงตนของมวยไท้เก๊กนั้นอยู่ที่มวยนี้ทั้งหมด ขอยืมรูปภายนอกหลังกำเนิดมาก็จริง แต่หาได้ใช้พลังหลังกำเนิดแม้แต่น้อยไม่ ไม่ว่าการเคลื่อนไหวหรือสงบนิ่งจะต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ โดยการวางจิตไว้ที่การหายใจ อันหลักวิชาของมวยไท้เก๊กนั้นเคล็ดของมันอยู่ที่ตัวเลขลึกลับในวิชาเซียน ลู่ถังอาจารย์ขอถามเจ้าหน่อยว่าเลข 1 คืออะไร”
“เลข 1 หมายถึง หลักการแห่งความเป็นหนึ่งเดียวครับ... ในทางรูปธรรมก็คือ ลมปราณ (ชี่) ที่กลมกลืนที่สะสมอยู่ที่บริเวณ ช่องท้องน้อยครับ”
“ดีมากเลข 2 ล่ะ”
“เลข 2 หมายถึง การเคลื่อนไหวกับการสงบนิ่งของร่างกายที่จักต้องเป็นหยินกับหยางเสมอครับ”
“เลข 3 ล่ะ”
“เลข 3 หมายถึง 3 โลก ในทางรูปธรรมก็คือ ศีรษะ มือ และเท้าครับ”
“เลข 4 ล่ะ”
“เลข 4 หมายถึง ก้าวไปข้างหน้า ถอยหลัง ไปทางซ้าย และ ไปทาง ขวาครับ”
“เลข 5 ล่ะ”
“เลข 5 หมายถึง ธาตุทั้ง 5 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ โลหะ ในทางรูปธรรมก็คือ หน้า หลัง ซ้าย ขวา และยืนนิ่งตรงกลางครับ”
“เลข 6 ล่ะ”
“เลข 6 หมายถึง 6 ประสาน คือ จิงประสานกับเสิน เสินประสานกับชี่ และชี่ประสานกับจิง นี่เรียกว่า ประสานใน ส่วนประสานนอก คือ ไหล่ประสาน กับต้นขา ศอกประสานกับเข่า มือประสานกับเท้าครับ”
“เลข 7 ล่ะ”
“เลข 7 หมายถึง 7 ดาวเหนือในทางรูปธรรมคือ ศีรษะ มือ ไหล่ ศอก ต้นขา เข่า เท้าครับ”
“เลข 8 ล่ะ”
“เลข 8 คือ 8 ทิศ หมายถึง ท่าเผิง ลู่ จี่ อั่น ไฉ่ เลี๊ยก โสว่ เค่า ของมวยไท้เก๊กครับ”
“เลข 9 ล่ะ”
“เลข 9 คือ 9 วิหาร หมายถึง ท่าทั้ง 8 บวกกับยืนนิ่งตรงกลางอีก 1 รวมเป็น 9 ครับ”
สรุปแล้ว ซุนลู่ถังใช้เวลาเรียนมวยไท้เก๊กจากอาจารย์หลี่เว่ยชินไม่ถึง 4 เดือนดีก็สามารถแตกฉานลึกซึ้ง เพราะว่าเขามีพื้นฐานชั้นเยี่ยมยอดของมวยสิ่งอี้กับมวยฝ่ามือ 8 ทิศอยู่แล้วนั่นเอง
หลังจากนั้นซุนลู่ถังก็เริ่มครุ่นคิดหาทางที่จะหลอมรวมมวยทั้ง 3 ชนิดที่เขาได้มานี้ให้เป็นหนึ่งเดียว เขาพิจารณา แล้วเห็นว่าแรงของมวยสิ่งอี้เป็นแรงแข็ง แรงของมวยฝ่ามือ 8 ทิศเป็นแรงแกร่ง และแรงของมวยไท้เก๊กเป็นแรงคล่อง
ถ้าเปรียบไปแล้วมวยไท้เก๊กก็เหมือนลูกบอลหนัง มวยฝ่ามือ 8 ทิศเหมือนลูกโซ่เหล็ก ส่วนมวยสิ่งอี้เหมือนลูกตุ้มเหล็กกล้า หาก 3 แรงที่แตกต่างกันนี้สามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้แล้วจะวิเศษพิสดารเพียงไหน เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้วซุนลู่ถังจึงตัดสินใจค้นคว้าการหลอมรวมมวยสิ่งอี้และ มวยฝ่ามือ 8 ทิศให้มาอยู่ในมวยไท้เก๊กซึ่งมีหลักวิชาที่สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของจักรวาลมากที่สุดแผ่คลุมกว้างที่สุด
พร้อมกันนั้นเขาได้เขียนตำรามวยสิ่งอี้ ตำรามวยฝ่ามือ 8 ทิศ และตำรามวยไท้เก๊กของเขาออกมาเผยแพร่สู่สาธารณชนในวงกว้าง เนื่องจากตัวเขามีความสามารถในการเขียนด้วย ซึ่งเป็นความสามารถที่หาได้ยากยิ่ง ในบรรดาครูมวยทั้งหลาย
ซุนลู่ถังได้สอดแทรกวิชาการใช้หมัดมือที่แข็งแกร่งดุเดือดของมวยสิ่งอี้ กับวิชาการใช้ท่าเท้าเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วยืดหยุ่นของมวยฝ่ามือ 8 ทิศเข้ามาอยู่ในมวยไท้เก๊กของเขาอย่างไร้รอยต่อ
นอกจากนี้ซุนลู่ถัง ยังได้ค้นคว้าวิชาแพทย์ พลานามัย พลศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ธรรมชาติ เพื่อเสริมสร้างวิชามวยไท้เก๊กของเขาให้มีความละเอียดสมบูรณ์ยิ่งขึ้นและก่อ ประโยชน์สูงสุดทั้งในด้านสุขภาพและการต่อสู้ป้องกันตัวด้วย