คำสอนเร้นลับของพุทธะ
ใน มิทสุโงะ (คำสอนเร้นลับ) ซึ่งเป็นบทที่ 45 ของ โชโบเก็นโซ โดเง็นกล่าวว่าคำสอนเร้นลับของเหล่าพุทธะที่มีแก่เหล่าพุทธะคือการยืนยันให้แก่กันและกันว่า ตัวท่านก็เป็นสิ่งนั้นและตัวเราก็เป็นสิ่งนั้นเช่นกันด้วย ....โลกนี้เต็มไปด้วยเสียงแห่งคำสอนเร้นลับอันนี้คำสอนที่ว่า ตัวท่านคือสิ่งนั้นและตัวเราก็คือสิ่งนั้นแต่ใครเล่าที่ได้ยิน? โดเง็นเป็นคนหนึ่งในจำนวนน้อยนิดที่ได้ยินเสียงอันเป็นคำสอนอันเร้นลับ (มิทสุโงะ) ของเหล่าพุทธะนี้และถ่ายทอดให้แก่ศิษย์ของเขาใน โชโบเก็นโซ
เสียงที่ให้คำยืนยันและรับรองให้กันและกันว่า เราท่านต่างก็เป็นสิ่งนั้น เป็นเสียงที่โดเง็นได้ยินแต่คนอื่นแม้แต่คนที่เป็นศิษย์ของเขากลับไม่ได้ยินทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
นั่นเพราะเสียงที่ว่านี้เป็นเสียงแห่งความเงียบที่ไม่อาจฟังได้ด้วยหูแต่สัมผัสได้ด้วยใจมันเป็นเสียงแห่งความเงียบและแฝงเร้นดุจเสียงใบไม้ร่วงหล่นจากต้นยามราตรีด้วยเหตุนี้จึงมีความต่างอย่างมากเหลือเกินระหว่างผู้ที่ได้ยินเสียงอันเป็นคำสอนเร้นลับของพุทธะกับผู้ที่ไม่ได้ยิน
สำหรับโดเง็นแล้วคำสอนเร้นลับของพุทธะมันมิได้เร้นลับเลยจริงๆสำหรับพุทธะด้วยกันมันแจ่มแจ้งชัดเจนเหลือเกินสำหรับพุทธะแต่ว่ามันเร้นลับสำหรับผู้ที่ยังไม่ใช่พุทธะต่างหากคำสอนเร้นลับ (มิทสุโงะ) ที่ว่านี้มิได้ออกมาจากปากใครทั้งสิ้นแต่ว่ามันเป็นคำสอนที่ปรากฏออกมาจากกายใจของตัวพุทธะผู้นั้นเอง
ตัวพุทธะไม่ว่าจะเป็นองค์ใดก็คือคำสอนก็คือคัมภีร์พุทธที่มีชีวิตชีวาที่สุดไม่ว่าท่านจะปรากฏตัวในยุคสมัยไหนก็ตามคำว่า เร้นลับ ที่โดเง็นใช้ในที่นี้จึงมีความหมายเพียงว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวของคนทุกคนแต่ต้องปฏิบัติพุทธธรรมก่อนเท่านั้นถึงจะเข้าใจและเข้าถึงได้เพราะฉะนั้นจะมีแต่คนที่สามารถค้นพบตัวตนที่แท้จริงของตนได้เท่านั้นถึงจะได้ยินคำสอนเร้นลับนี้และสามารถถ่ายทอดคำสอนเร้นลับนี้ออกมาได้
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าการกลายเป็น พุทธะ ของคนๆหนึ่งคือการที่ คำสอนเร้นลับ (มิทสุโงะ) และ การปฏิบัติธรรมแบบเร้นลับ (มิทสุเกียว) ได้ปรากฏเผยตัวออกมากจากคนๆนั้น
สำหรับโดเง็นแล้วพุทธะคือผู้ที่ รู้ ตัวตนที่แท้จริงของตนโลกของพุทธะคือโลกที่เต็มเปี่ยมได้ด้วยภาษาคำสอนอันเร้นลับและการปฏิบัติอันเร้นลับของตนที่ปรากฏออกมาเองแม้มิได้จงใจก็ตามเพราะเมื่อคนๆหนึ่งกลายมาเป็นพุทธะ คำสอนเร้นลับและการปฏิบัติเร้นลับก็จะมาครอบคลุมตัวผู้นั้นเองอย่างมิดชิดจนกลายเป็นกายกรรมวจีกรรมและมโนกรรมของพุทธะทำให้การเจริญสติของพุทธะการอยู่กับ ปัจจุบัน ของพุทธะเป็นคนละปัจจุบันกับของปุถุชนเพราะ ปัจจุบัน ของพุทธะคือเวลาของ สิ่งนั้น อันเป็นนิรันดร์ขณะที่ปัจจุบันของปุถุชนยังอยู่บนเส้นตรงของกาลเวลาอันมีอนาคตอยู่เบื้องหน้าและอดีตอยู่เบื้องหลัง
ใน ดะอุเตะ (คำสอน) ซึ่งเป็นบทที่ 33 ของ โชโบเก็นโซ ที่โดเง็นเขียนออกมาในปีค.ศ.1242 โดเง็นได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า พุทธะก็คือคำสอนเพราะฉะนั้นเวลาที่ พุทธะ ตรวจสอบ พุทธะ ด้วยกันจึงมักจะถามกันว่า กำลังสอน (แสดง) ธรรมะด้วยชีวิตด้วยจิตวิญญาณทั้งหมดของตนอยู่หรือไม่ในทุกขณะจิต?
โดเง็นบอกว่า คำสอน หรือธรรมที่แสดงออกมานี้จะต้องไม่ใช่สิ่งที่จำตำราจำคำพูดของคนอื่นมาพูดแต่มันจะต้องเป็นคำสอนของพุทธะที่กลายมาเป็นคำสอนของตัวเราเองในท่ามกลางการแสวงหาความเป็นพุทธะของตัวเราอย่างเอาเป็นเอาตายอันเป็นประสบการณ์ทางวิญญาณล้วนๆเพราะเมื่อเราเอาตัวเองมาอยู่ในคำสอนของพุทธะทำการพิจารณาและวิปัสสนาคำสอนของพุทธะอย่างต่อเนื่องยาวนานเป็นสิบปียี่สิบปีสามสิบปีในที่สุดตัวเราก็จะบรรลุคำสอนนั้นหรือคำสอนนั้นกลายมาเป็นตัวเรากล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าอำนาจของพุทธคุณหรืออำนาจแห่งคำสอนของพุทธะจะเปล่งพลังทำให้ตัวเรากลายเป็นคำสอนและคำสอนกลายเป็นตัวเราจนได้ในที่สุดเพราะถ้าหากไม่ใช่พลังของพุทธคุณแล้วพลังอะไรเล่าที่สามารถผลักดันให้คนๆหนึ่งเฝ้าคิดพิจารณาข้อธรรมได้อย่างต่อเนื่องยาวนานนับเป็นปีๆหรือหลายสิบปี?