รศ.ดร.ชวินทร์ ลีนะบรรจง , รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
การ “ปฏิวัติประชาชน” ที่บรรดา “สหาย” ทั้งหลายกระหายที่จะให้เกิดนั้น หากพิจารณาด้วยเงื่อนไขของการมีพรรคเพื่อไทย การมีแนวร่วมเสื้อแดง นปช. และการมีกองทัพประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (กปช.) ดูจะเป็นเงื่อนไขที่ครบถ้วนสมบูรณ์อย่างไม่เคยมีมาก่อน
สหายที่เคยเข้าร่วมกับ พคท.ในอดีตบางคนอาจมองเงื่อนไขนี้อย่างฮึกเหิม เพราะ พคท.ในอดีตใช้เวลาตั้งแต่ตั้งพรรคเมื่อ พ.ศ. 2485 แม้จนถึงช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดเมื่อช่วงปีพ.ศ. 2521 ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใกล้การ “ปฏิวัติประชาชน” ได้มากเท่านี้ จนดูเหมือนว่าไม่สำเร็จครั้งนี้แล้วจะไปสำเร็จได้เมื่อใด
ยุทธศาสตร์การ “ปฏิวัติประชาชน” ที่เลียนแบบมาจาก พคท.ในอดีตจะไม่สามารถบรรลุความสำเร็จได้เลยหากปราศจากสิ่งที่เรียกว่า “อุดมการณ์” ที่เป็นเครื่องร้อยรัด พรรค แนวร่วม และกองกำลังเข้ามาด้วยกัน
พรรคเพื่อไทยมิใช่ พคท.ในอดีตที่มีอุดมการณ์เพื่อประชาชนที่ชัดเจน ทำให้มีสภาพความเป็น “คอกควาย” มากกว่าพรรคการเมืองเพราะ มิได้มีอุดมการณ์ร่วมกันแต่อย่างใด การขัดแย้งจึงมีสูงเนื่องจากต่างคนต่างก็มีวาระของตนเอง ดูง่ายๆ ตั้งแต่มีพรรคเพื่อไทยทำไมจึงไม่มีหัวหน้าพรรคที่แท้จริงที่สามารถเป็นหัวฝ่ายค้านในรัฐสภาได้ หรือจากกรณี เป็ดเหลิม ณ บางบอน กับ เจ๊หน่อย หรือกับใครอีกหลายๆ คนที่มีวิวาทะกัน ก็เพราะแย่งชิงการนำเป็นสำคัญ ในขณะที่นายยงยุทธหัวหน้าพรรคตามกฎหมายก็มีสภาพเป็นหัวตอไปวันๆ เท่านั้นมิได้มีสภาพของผู้นำแต่อย่างใด
ในทำนองเดียวกัน แนวร่วม นปช. ก็มิใช่แนวร่วมที่แท้จริงเพราะคนที่มาเข้าร่วม ไม่ว่าจะโดยการชุมนุมหรือทำกิจกรรมทางการเมือง ต่างก็มาด้วยจุดประสงค์ที่แตกต่างกันออกไปมากมายเหลือคณานับ ตั้งแต่แกนนำ ที่เป็นพวก “สู้แล้วรวย” พวก “ซ้ายไม่เอาเจ้า” จนถึงพวก “ไร้เดียงสา” ที่มาเพราะไม่รู้เรื่องหรืออาจถูกหลอกมาที่ในปัจจุบันเริ่มมีจำนวนลดน้อยถอยลง การขัดแย้ง แย่งกันนำ หวงชามข้าว จึงเกิดขึ้นมาโดยตลอด
สิ่งที่ร้อยรัด พรรคเพื่อไทย และ นปช. เข้าไว้ด้วยกันก็คือ อุดม “เงิน” จาก ทักษิณ ชินวัตรเป็นสำคัญ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอันใดที่เมื่อมีผู้ออกมาให้ข่าวเรื่องการไหลเข้ามาของเงินอย่างผิดปกติ ตุ๊กแกทั้งหลายที่กินเงินแทนปูนจึงร้อนท้องกันทั่ว
คำพิพากษาในคดียึดทรัพย์อาจมีความสำคัญกับทักษิณมากกว่าตัวเงินที่จะถูกยึดเสียอีก เพราะเงินหาใหม่ได้หากมีอำนาจ แต่อรรถาธิบายในคำพิพากษาจะทำลายความชอบธรรมของทักษิณตั้งแต่หลังคดีซุกหุ้นภาคแรกให้หมดไปอย่างสิ้นเชิงไม่มีวันหวนกลับมาได้ หมดสิ้นซึ่งโอกาสในการกลับเข้ามามีอำนาจ และผลของคำพิพากษาก็เช่นเดียวกับในคดีที่ดินรัชดาฯ ที่ไม่มีใครในโลกสามารถแก้ไขให้ได้
การบรรลุยุทธศาสตร์ของทักษิณที่ว่า ต้องการกลับประเทศโดยปราศจากความผิด โดยวิธี “พิเศษ” ที่อาศัยการสร้างกระแสความรุนแรง เอาประเทศเป็นตัวประกันบนเงื่อนไขที่ว่า หากไม่ยกโทษให้ทักษิณ ประเทศไทยก็ไม่มีวันสงบ จึงเป็นความหลงผิดอย่างร้ายแรงและเป็นอันตรายต่อตัวทักษิณเอง
เพราะ วิธี “พิเศษ” ที่หวังอาศัยการสร้างความรุนแรงเพื่อการเจรจาต่อรองยอมความนั้น ดูแล้วเหมือนดี แต่อย่าลืมว่าทักษิณ จะเจรจาต่อรองกับใคร หรือใครจะมีอำนาจเจรจาต่อรองด้วย เพราะ “ระบบ” เป็นผู้ลงโทษ “ระบบ” ไม่ใช่คน ดังนั้นทักษิณจะเจรจาต่อรองกับ “ระบบ” ได้อย่างไร มีอยู่ทางเดียวคือต้องล้มล้าง “ระบบ” ที่เป็นอยู่และอยู่ตรงข้ามกับตน กลายเป็นทักษิณอยู่เหนือ “ระบบ” แสดงให้เห็นว่าทักษิณคำนึงแต่เฉพาะผลประโยชน์ของตนเองเป็นที่ตั้ง และที่สำคัญเป็นสิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่ก็ยอมให้ไม่ได้เพราะหากปราศจากซึ่ง “ระบบ” ประเทศก็จะไม่มีนิติรัฐและนิติธรรมแล้วประชาชนจะอยู่กันได้อย่างไร
วิธีคิดของทักษิณจึงสะท้อนให้เห็นถึงพื้นฐานตัวตนของเขาได้ว่า ขาดความรู้ที่แท้จริง แม้จะเรียนหนังสือจบปริญญาเอก แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้เขารู้จริงและไม่ทำให้ระบบคิดของตัวเขามีการพัฒนาก้าวหน้าแต่ประการใด หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ทักษิณ อยู่กับ “ความมั่ว” และ “ฉาบฉวย” มาทั้งชีวิต ความสำเร็จเป็นตัวเป็นตนที่จับต้องได้ส่วนใหญ่ก็มาจากการอาศัยอำนาจผูกขาดที่ได้รับมาเป็นสำคัญ หากต้องสู้แข่งขันกันอย่างเสมอภาคไม่มีแต้มต่อแล้วมักจะแพ้อยู่เสมอ คนใกล้ชิดก็พึ่งไม่ได้เพราะไม่ได้เรียนหนังสือในช่วงสำคัญของชีวิต รีบมาแต่งงานเสียก่อน เป็นลูกตำรวจ เรียนรู้แต่วิธีที่ไม่ดีของตำรวจ
ยุทธศาสตร์ พคท.จำแลงด้วยการแสร้งว่าจะทำการ “ปฏิวัติประชาชน” จึงสำเร็จได้ยากหากปราศจากซึ่งมวลมาห้อมล้อมเพื่อเป็นแนวกำแพงประชาชน เป็นน้ำให้ปลา ซึ่งก็คือกองกำลังติดอาวุธใช้กำบังเพื่อต่อสู้กับอำนาจรัฐ
แต่จะทำอย่างไรถึงจะได้มาซึ่งมวลชน เป็นสิ่งที่ทักษิณคิดไม่ออกในขณะนี้ เพราะความเคยชินในการ “ใช้เงินซื้อ” ในทุกๆ สิ่งในชีวิตที่ผ่านมาของทักษิณได้ทำให้ วิธีคิดของเขาไม่เคยคิดเลยว่าจะจำเป็นต้องพึ่งพิง “อุดมการณ์” แต่อย่างใด ทักษิณจึงเป็นพ่อค้านักฉวยโอกาสมากกว่าที่จะเป็นนักปฏิวัติที่มี “อุดมการณ์” การสร้างเงื่อนไขเพื่อเจรจาจึงเกิดขึ้นมาโดยตลอด
การมีมวลชนมาร่วมชุมนุมเป็นเรือนล้านนั้น หากทำสำเร็จชัยชนะก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ความฝันกับความจริงดูจะห่างไกลกันเสียเหลือเกิน
แม้จะ “ใช้เงินซื้อ” ก็หามวลชนไม่ได้ หากปราศจากซึ่งอุดมการณ์ก็ไม่มีใครยอมขายชีวิตให้แน่นอน เพราะจากบทเรียนความรุนแรงในอดีตที่ผ่านมาเป็นเครื่องเตือนใจ ครั้งนี้แกนนำพวกทักษิณตั้งใจก่อความรุนแรงแน่นอนและไม่ยั้งคิดที่จะนำเอาชีวิตมวลชนไปสังเวย การชุมนุมอาจจบด้วยการถูกปราบและนำส่งเข้าคุกเข้าวัด ไม่ใช่ส่งกลับบ้านเหมือนครั้งที่แล้ว
พี่น้องคนเสื้อแดงอย่าลืม แกนนำพวก “สู้แล้วรวย” ก็หาทางลงเช่นกันเพราะอยากจะมีชีวิตไปใช้เงิน การแยกกันเดิน รวมกันตี แล้วหนีเมื่อถูกปราบ จึงเป็นกลยุทธ์ทางออกอีกทางหนึ่ง
พี่น้องคนเสื้อแดงเอ๋ย ถ้าเกิดความรุนแรงในครั้งนี้ ปฏิกิริยาตอบโต้จากฝ่ายประชาชนที่ไม่ใช่ฝ่ายรัฐบาลและเป็นสีอะไรก็ได้อาจรุนแรงและมากกว่าที่คิด
เพราะทักษิณ “พลาด” จากการทรยศต่อชาติ 2 ประการก็คือ การสมคบกับพวกฝ่ายซ้ายล้มเจ้า และการสมคบกับเขมรอย่างฮุนเซนที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ให้การสนับสนุน ทำให้แนวร่วมมวลชนที่จะเป็นเสมือนม่านควันกำบังหรือเป็นน้ำให้ปลาอาศัยไม่มีหรือลดน้อยลงเพราะไม่มีใครอยากเข้าร่วมด้วยในครั้งนี้ ทำให้กองกำลังของทักษิณเคลื่อนไหวก่อความวุ่นวายได้ยาก
หากมวลชนในกรุงเทพฯ ที่อยู่ใกล้พื้นที่ชุมนุมมีน้อย มวลชนจากต่างจังหวัดก็ไม่สามารถเข้ามาได้เพราะขาดทัพหน้าที่จะมายึดพื้นที่เอาไว้ให้ การขาดการสนับสนุนจากมวลชนในพื้นที่ ทำให้ชุมนุมยืดเยื้อทำได้ยาก และด้วยจำนวนคนน้อยหากก่อความรุนแรงเพราะต้องการปิดเกมเร็วก็ยิ่งถูกปราบได้โดยง่าย
จุดสำคัญที่เป็นเงื่อนไขแพ้ชนะในครั้งนี้จึงอยู่ที่มวลชนในพื้นที่กรุงเทพฯ ที่จะเข้าร่วมมากน้อยเพียงใด นี่จึงเป็นเหตุให้การนัดชุมนุมยังไม่เกิดเพราะกลัวไม่มีคนมา
การเลียนแบบพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยของ นปช.ด้วยเพียงใช้ ตีนตบแทนมือตบจึงไม่ประสบความสำเร็จ เพราะขาดซึ่งอุดมการณ์อันเป็นจุดร่วมของมวลชน ทำให้ไม่สามารถระดมมวลชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรุงเทพฯ ได้เมื่อต้องการ
ยุทธศาสตร์ พคท.จำแลงด้วยการแสร้งว่าจะทำการ “ปฏิวัติประชาชน” ในครั้งนี้ไม่ว่าจะมีผลพ่ายแพ้อย่างไรก็มีแพะให้บูชายันเป็นที่แน่นอนแล้ว คือ ทักษิณ ชินวัตร ส่วนฝ่ายที่คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ในข้างเดียวกับทักษิณมีทั้ง ฝ่าย “ซ้ายไม่เอาเจ้า” และ ฝ่ายพล.อ.อัลไซเมอร์ เพราะหากก่อความรุนแรง ถูกปราบแพ้ ก็ไม่มีอะไรจะเสีย แถมยังได้ประโยชน์จากการมีแนวร่วมมากขึ้นเหมือนเช่นกรณีหลัง 6 ต.ค. หรือเสนอให้ตั้งรัฐบาลแห่งชาติแย่งอำนาจจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ แต่หากชนะก็อาจปฏิวัติซ้อนหรือเฮเข้าพวกด้วย จิตใจช่างเหี้ยมโหดเห็นแก่ตัวได้เกินคาดจริงๆ