รศ.ดร.ชวินทร์ ลีนะบรรจง , รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เมื่อคิดต่ำ ก็ยากที่จะทำในสิ่งสูง
ในการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในครั้งนี้ มีใครบ้างที่พึงชม คนที่ควรชม และ พึงข่ม คนที่ควรข่ม
ทักษิณ ชินวัตรและแกนนำเสื้อแดงได้กระทำการประหนึ่ง “ปล้น” เจ้าทรัพย์ที่เป็นคนไทย ประเทศไทย โดยอาศัยการชุมนุมของคนเสื้อแดงในวันที่ 14 มีนาคม ที่เรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา และหากปฏิเสธก็แสดงท่าทีว่าจะ “ฆ่า” เจ้าทรัพย์หากไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ
ทักษิณ ชินวัตรและแกนนำเสื้อแดง อาศัยเหตุผลหลักๆ อยู่ไม่กี่ประเด็นในการปลุกระดมคนเสื้อแดงที่เข้ามาร่วมชุมนุมในครั้งนี้
ประเด็นเรื่องความไม่เท่าเทียมกันระหว่างชนชั้น คือ ประเด็นระหว่างชนชั้นล่างหรือ “ไพร่” กับชนชั้นสูงหรือ “อำมาตย์” ที่ไม่รู้ว่าเป็นคนหรือสถาบันที่เอาเปรียบชนชั้นล่าง
ทักษิณ ชินวัตรพยายามจะยกตนเองเป็น “ไพร่” ที่ประสบความสำเร็จ โดยอ้างว่าตนเองเป็นวีรบุรุษประชาธิปไตยที่เข้าใจและสามารถอาศัยกระแสโลกาภิวัตน์มาต่อสู้กับ “อำมาตย์” เพื่อชาว “ไพร่” ทั้งหลาย เพื่อลดความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นด้วยชุดของนโยบายประชานิยม แต่ต้องมาพ่ายแพ้กับ “อำมาตย์” ด้วยการเล่นไม่ซื่อล้มกระดานด้วยการปฏิวัติเมื่อ 19 ก.ย. 49 เพราะกลัวประชาชนจะรักทักษิณมากกว่า
รัฐบาลอภิสิทธิ์ที่รับช่วงต่อจากรัฐบาลสมัครและรัฐบาลสมชายจึงเป็นรัฐบาลที่ไม่ชอบธรรมเพราะถูกจัดตั้งขึ้นมาด้วยอำนาจของ “อำมาตย์” เพื่อ “อำมาตย์”
ทักษิณ ชินวัตรจึงกลายเป็นเหยื่อของโครงสร้างที่ไม่เท่าเทียมกันที่มี “อำมาตย์” อยู่เบื้องหลัง เป็นผู้ไร้เดียงสาที่เข้ามาผิดที่ผิดเวลา ขัดขวางการเอารัดเอาเปรียบของโครงสร้างที่ “อำมาตย์” เอาเปรียบ “ไพร่”หรือชนชั้นล่าง
ข้อหาที่ทักษิณ ชินวัตรอ้างอยู่เสมอๆ ว่าถูกยัดเยียดก็คือ การไม่จงรักภักดี ต้องการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองจากระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขไปเป็นระบบอื่น
ดังนั้นกระบวนการยุติธรรมที่ทักษิณ ชินวัตรได้รับจึงไม่มีความยุติธรรม และตัวเขาเองก็รับไม่ได้เพราะได้มีการกำหนดคำพิพากษาไว้ล่วงหน้าแล้ว ถูกเลือกปฏิบัติหรือมีสองมาตรฐาน
หากประชาชนชาวไทยและ “อำมาตย์” ต้องการคลี่คลายสถานการณ์ที่ตึงเครียดจากการชุมนุมของคนเสื้อแดงในครั้งนี้ก็ต้องยุบสภา หาไม่แล้วประเทศไทยและคนไทยก็จะไม่มีความสงบ
คนที่พึงข่มในที่นี้จึงเป็นทักษิณ ชินวัตรและแกนนำเสื้อแดงที่อาศัยประเด็นวาทกรรมดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นมายุยงปลุกปั่นกับกลุ่มคนเสื้อแดง อาศัยกลุ่มคนเสื้อแดงมาเป็นมวลชนรองรับเพื่อเรียกร้องการยุบสภาเพื่อประโยชน์ของทักษิณ ชินวัตร เพราะการยุบสภาจะเป็นหนทางที่จะทำให้ระบอบทักษิณสามารถฟอกความผิดให้กับทักษิณ ชินวัตรด้วยการออกกฎหมายเพื่อนิรโทษกรรมและสามารถกลับสู่อำนาจได้อีกครั้ง
ระบอบทักษิณอาจกล่าวได้ว่าเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิโดย “ทุน” เป็นสำคัญ หากใคร “มีเงิน มีทุน” แล้วก็จะเป็นความชอบธรรม คล้ายดั่ง เช่น ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ประเทศไทยได้ผ่านเลยไปนานแล้ว เป็นความแตกต่างจากระบบทุนนิยมในโลกตะวันตก เพราะทุนนิยมยังต้องเคารพกฎหมายแต่ระบอบทักษิณเป็นระบบที่รวบอำนาจโดยอาศัยทุนเป็นที่ตั้ง ความถูกต้องถูกชี้ขาดโดยทุนที่มีอยู่ และ “ต้อง” มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ควบคุมทุนที่มีอยู่ก็คือทักษิณ ชินวัตร
แกนนำเสื้อแดงอาจไม่เข้าใจว่า ทักษิณ ชินวัตรได้ตระหนักถึงการผูกขาดว่าเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการควบคุมทุนที่มีอยู่ การเข้าสู่อำนาจรัฐจึงเป็นหนทางที่สำคัญเพราะการผูกขาดที่สามารถคงทนอยู่ได้นานส่วนใหญ่เป็นการผูกขาดโดยอำนาจที่รัฐมอบให้ ส่วนการผูกขาดด้วยวิทยาการจากการค้นคว้าหรือจากทรัพยากรที่มีอยู่ไม่สามารถคงทนอยู่ได้นาน และทักษิณไม่เคยคิดที่จะกระทำแต่อย่างใด มุ่งแต่การผูกขาดโดยอำนาจรัฐ ดังนั้นการเข้าสู่อำนาจรัฐจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะควบคุมทุน
การเป็นผู้รับสัมปทานโทรศัพท์มือถือ สัมปทานดาวเทียม แต่เพียงผู้เดียวโดยปราศจากคู่แข่ง จึงเป็นตัวอย่างที่ดีที่ทำให้ทักษิณได้ลิ้มรสชาติของความสำเร็จเป็นเจ้าของและควบคุมทุนหลังจากล้มลุกคลุกคลานมาเป็นเวลานาน
คำพิพากษาในคดียึดทรัพย์จึงเป็นการโต้แย้งและเป็นข้อพิสูจน์ที่สำคัญว่าทักษิณกับเมียร่วมกันทุจริตเชิงนโยบายโดยซ่อนเร้นความเป็นเจ้าของในกิจการที่เป็นคู่สัญญากับรัฐในขณะที่ทักษิณ ชินวัตรเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐในการกำกับดูแลกิจการดังกล่าว เป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับส่วนรวมอย่างร้ายแรง เป็นการแสดงว่าทักษิณ ชินวัตรไม่ได้เก่งกาจเป็นอัศวินลูกที่สามที่เข้าใจกระแสโลกาภิวัตน์แต่อย่างใด หากแต่สำเร็จร่ำรวยเพราะการผูกขาดโดยอาศัยอำนาจรัฐ เป็นต้นตอของความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นโดยแท้
การสวมรอยหาประโยชน์จากความขัดแย้งทางชนชั้น โดยเอาทักษิณเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ของ “ไพร่” ที่มีต่อชนชั้นสูงหรือ “อำมาตย์” จึงเป็นภาพลวงตาที่ยกขึ้นมาโดยทักษิณ ชินวัตรและแกนนำเสื้อแดงอย่างน่าละอาย เพราะทักษิณเป็นตัวอย่างที่ดีของการอาศัยช่องว่างระหว่างชนชั้นตักตวงผลประโยชน์ไปกระจุกตัวไว้ที่คนเพียงคนเดียว เงินกู้กองทุนหมู่บ้านจำนวนเกือบ 8 หมื่นล้านบาทที่หว่านออกไป จึงเป็นที่มาของจำนวนโทรศัพท์มือถือและค่าโทรศัพท์ที่กิจการของทักษิณกับเมียแอบเป็นเจ้าของอยู่ที่ขายดิบขายดีอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
ทักษิณ ชินวัตรจึงมิใช่ผู้ที่ไร้เดียงสา มิใช่เหยื่อของโครงสร้างที่ไม่เท่าเทียมกัน มิใช่เป็นปัญหาปลายเหตุของสังคม หากแต่เป็นต้นเหตุของปัญหาอย่างแท้จริงของสังคมไทย
หากทักษิณเป็นวีรบุรุษประชาธิปไตยที่ชอบตีตนเสมอกับ นางอองซาน นายเนลสัน แมนเดลล่า จริง ทำไมประเทศประชาธิปไตย เช่น สหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น และเกือบจะทั่วโลกจึงปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศ มีแต่ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบที่มิใช่ประชาธิปไตยที่เอื้อเฟื้อให้เข้าประเทศโดยแลกกับสินจ้าง
“ไพร่” หรือชนชั้นล่างน่าจะอยู่ตรงข้ามกับ “เจ้า” ที่เป็นชนชั้นสูง มิใช่ “อำมาตย์” แต่อย่างใดเพราะ “อำมาตย์” เป็นผู้รับใช้ “เจ้า” คำปราศรัยของท่านผู้หญิง วิริยอุตสาหะ ที่ชอบทำบุญและอ้างว่าร่ำรวยกว่าทักษิณที่ขึ้นไปกล่าวบนเวทีร่วมกับกลุ่มแกนนำเสื้อแดงเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมานั้น ดูจะสะท้อนให้เห็นถึงตัวตนของระบอบทักษิณได้เป็นอย่างดี เพราะการที่ท่านผู้หญิง วิริยอุตสาหะ มารับรองความจงรักภักดีให้กับทักษิณในอดีตที่ผ่านมาโดยใช้เพียงแต่สัมผัสที่หก ไม่แยแสไม่สนใจข้อเท็จจริงที่มีอยู่ หรือการรับเงินบริจาคโดยไม่สนใจที่มาว่าเงินนั้นได้มาอย่างสุจริตหรือไม่สนใจแต่เพียงจำนวน แต่ที่สำคัญก็คือ ท่านผู้หญิง วิริยอุตสาหะ ทราบหรือไม่ว่าแกนนำเสื้อแดงคนหนึ่งที่ท่านเข้าไปร่วมด้วย คนที่ยืนข้างอย่างใกล้ชิดที่ชื่อ ก่อแก้ว นั้นมีพฤติกรรมเกี่ยวกับการดูหมิ่นสถาบันที่ท่านผู้หญิง วิริยอุตสาหะ บอกเสมอว่าจงรักภักดี เพราะพยายามจะปลดรูปที่ทุกบ้านมีอยู่ออก
เมื่อคิดต่ำ ก็ยากที่จะทำในสิ่งสูง หากท่านผู้หญิงยังไปคบหาสมาคมด้วยอย่างน่าชื่นตาบาน ก็จะเป็นอย่างสุภาษิตว่าไว้ เพราะดูท่าชอบคบแต่คนพาลที่จ้องจะ “ล้มเจ้า” มิใช่คบบัณฑิตแต่อย่างใด
เลือดของมนุษย์เป็นสัญลักษณ์ของสูง วีระ จตุพร ณัฐวุฒิ เหวง ต่างก็เกิดมาพร้อมกับเลือดของแม่ผู้ให้กำเนิดเต็มหน้าเต็มตัว เช่นเดียวกับมนุษย์ทุกคน ลูกที่กำเนิดมาจากเลือดเนื้อของแม่จึงเป็นของสูง
พ.ต.อ.สมเพียร แม้จะเสียชีวิตด้วยระเบิดจากการลอบฆ่า มีเลือดเปรอะเต็มกาย แต่ก็เป็นเลือดที่ยอมเสียสละเพื่อปกป้องประเทศชาติ เพื่อสังคมส่วนรวม
เลือดจึงเป็นของสูงที่ไม่สมควรเอามาละเลงเล่นดังเช่นที่แกนนำเสื้อแดงเอาเลือดมาเททิ้งเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของทักษิณ ชินวัตรแต่อย่างใด
แกนนำเสื้อแดงและผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้จึงโปรดสังวรไว้ว่า เมื่อคิดต่ำ ก็ยากที่จะทำในสิ่งสูง
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีได้ใช้ความเป็นหัวหน้าผู้อภิบาลรัฐได้คุ้มค่า เพราะหากมิได้มีการเตรียมการเป็นอย่างดี แกนนำเสื้อแดงที่หลายท่านหลายสื่อพยายามชมว่าไม่ใช้ความรุนแรงก็อาจก่อความรุนแรงก็ได้ ดังเช่นเมื่อเมษาที่ผ่านมา แต่ที่ไม่รุนแรงก็เพราะนอกจากจะถูกรัฐบาลกดดันเอาไว้แล้วยังถูกเฝ้ามองจากนักข่าวพลเมืองนิรนามที่พร้อมแฉข้อเท็จจริงด้วยภาพวิดีโอ มิใช่เป็นอย่างที่ “เสนาะ ผู้โกงที่วัด”ได้ปรามาสเอาไว้ว่าเป็นนายกฯ ได้แต่อภิบาลรัฐไม่ได้
ประโยชน์จากการที่คนเสื้อแดงมาชุมนุมก็คือ รัฐบาลที่จะเป็นอภิสิทธิ์หรือไม่ควรจะตระหนักถึงคือปัญหาในเชิงโครงสร้าง เช่น ความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้น ที่ต้องอาศัยวิสัยทัศน์และความเป็นผู้นำที่กล้าในการปฏิรูปประเทศไทย อย่าได้ปล่อยให้เกิดผีบุญเช่น ทักษิณ ชินวัตรมาหลอกลวงคนไทยอีกต่อไปว่าจะทำให้กินดีอยู่ดีโดยแลกกับการเข้าสู่อำนาจ เพราะมีข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนแล้วว่าเขาทำงานเพื่อตนเองและเครือญาติเป็นหลัก ประชาชนเป็นรอง
ดังนั้นคนเสื้อแดงจึงควรตระหนักว่า หากก้าวข้ามสินจ้างที่ทักษิณและแกนนำให้เพื่อนำเอาพวกคุณมาเป็นเบี้ยต่อรองได้ ข้อเรียกร้องหรือเสียงของพวกคุณจะมีความหมายขึ้นทันที เพราะรัฐบาลมีหน้าที่ที่ต้องฟังเสียงของประชาชนทุกคน เพราะเมื่อคิดสูง ก็จะทำในสิ่งสูงได้
สุดท้ายสำหรับคนที่พึงข่ม เรืองไกร ส.ส. และ ส.ว.ที่มาออกข่าวประณามเรื่องการไม่เข้าร่วมประชุมสภาของ ส.ส.และ ส.ว.ส่วนใหญ่เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ควรที่จะสำนึกว่า การเป็นนักการเมืองอาชีพกับการมีอาชีพเป็นนักการเมือง นั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง