34. พันธมิตรฯ รำลึก ว่าด้วยพรรคการเมืองของพันธมิตรฯ
การประกาศตั้ง พรรคการเมืองของขุมพลังพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ท่ามกลางสายฝน เมื่อคืนวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ในวันจัดงานรำลึกหนึ่งปีของ 193 วันแห่งการต่อสู้ของพี่น้องชาวพันธมิตรฯ ณ ที่สนามกีฬาของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จักต้องได้รับการจารึกในฐานะที่เป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของการเมืองไทยอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะมองจากมุมมองไหนก็ตาม
เพราะที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีพรรคการเมืองไหนเลยในประเทศนี้ที่เป็น พรรคของมหาชน (mass party) และมีประวัติศาสตร์แห่งการก่อเกิดอย่างมีความทรงจำทางประวัติศาสตร์แบบรวมหมู่และฝังลึก เหมือนอย่างพรรคการเมืองของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนี้
เพราะพรรคนี้เป็นพรรคที่เกิดจากการเรียกร้องของมวลมหาประชาชนที่ลุกขึ้นมาปกป้องชาติ ศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์
เพราะพรรคนี้เป็นพรรคที่เกิดจากขบวนการภาคประชาชนที่ได้ผ่านการหล่อหลอมจากการต่อสู้อย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 193 วันติดต่อกันอย่างชนิดยอมเสียสละได้แม้กระทั่งชีวิตของผู้กล้านิรนามทั่วทั้งแผ่นดินจำนวนมาก
และเพราะ พรรคนี้เป็นพรรคที่เกิดจากหยาดโลหิตที่หลั่งลงพสุธาจริงๆ ทั้งจากหยดเลือดของมวลชนพันธมิตรฯ และจากหยดเลือดของแกนนำพันธมิตรฯ ตามความหมายของภาษาเช่นนั้นจริงๆ นี่ยังไม่นับรวมหยาดเหงื่อและหยดน้ำตาของพวกเขาที่ได้หลั่งออกมาร่วมกันครั้งแล้วครั้งเล่าจนนับไม่ถ้วนในท่ามกลางการต่อสู้ที่ผ่านมา
ประเทศไทยเราไม่เคยมีพรรคการเมืองเช่นนี้มาก่อน และหลังจากนี้ไปอีกนานแสนนาน ก็คงจะไม่มีพรรคการเมืองเช่นนี้ถือกำเนิดขึ้นมาอีกแล้ว ยกเว้นพรรคการเมืองพรรคนี้ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น ซึ่งบัดนี้ได้จัดตั้งขึ้นมาแล้ว และมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า พรรคการเมืองใหม่ (ก.ม.ม.)
พวกเราชาวพันธมิตรฯ จะสร้าง พรรคการเมืองใหม่ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้เข้มแข็งและเติบโตอย่างยั่งยืน จนเป็น อีกอาวุธหนึ่งที่ทรงพลัง ของพันธมิตรฯ นอกเหนือไปจากโทรทัศน์ของมวลมหาประชาชนอย่าง ASTV ได้อย่างไร?
ก่อนอื่น ผมอยากให้พี่น้องชาวพันธมิตรฯ ที่รักทุกคนมีความเข้าใจทางทฤษฎีตรงกันก่อนว่า พรรคการเมืองใหม่ของพันธมิตรฯ นี้เป็นการรวมตัวกันของเหล่าปัญญาชนออแกนิก (organic intellectuals) จากขุมพลังพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่มีภารกิจศักดิ์สิทธิ์และภารกิจทางประวัติศาสตร์ในการผลักดันสังคมไทย และการเมืองไทยให้มีวิวัฒนาการยิ่งขึ้น รุดหน้ายิ่งขึ้น เจริญเติบโตอย่างยั่งยืนยิ่งขึ้น อย่างเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น อย่างมีความเสมอภาคมากยิ่งขึ้น และอย่างมีสิทธิเสรีภาพมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
มโนทัศน์ (concept) เรื่อง ปัญญาชนออแกนิก จึงเป็นแนวคิดหลักที่ผมอยากให้พี่น้องชาวพันธมิตรฯ ที่รักทุกคนมีความเข้าใจร่วมกันในการที่จะร่วมสร้างพรรคการเมืองใหม่ของพันธมิตรฯ ขึ้นมา เพราะอย่างที่ผมได้เคยกล่าวไปแล้วว่า นิยามของปัญญาชนออแกนิก คือ “ผู้ให้ปัญญาแก่สังคม” โดยไม่จำเป็นต้องเป็นนักวิชาการหรืออาจารย์ในมหาวิทยาลัยแต่อย่างใด แต่จะต้องเป็นผู้ที่มีสติปัญญาที่แหลมคมมีองค์ความรู้ ประกอบทั้งมีบทบาท และกำลังแสดง บทบาททางสังคม ในฐานะ “ผู้ให้ปัญญาแก่ประชาชน” โดยตระหนักถึงฐานะหรือ ตำแหน่งทางองค์ความคิด ของตนในท่ามกลางพลวัตของกระแสความคิดหลักของสังคม โดยพยายามที่จะ ใช้องค์ความรู้ของตนอย่างมียุทธศาสตร์ ในการบ่มเพาะพัฒนาเสริมสร้างความเข้มแข็งทาง จิตสำนึกที่มีชีวิตชีวา (organic consciousness) ให้แก่ ขุมพลังทางการเมืองของพวกตน ในการต่อสู้ เพื่อสถาปนา “การเมืองใหม่” และ “สังคมใหม่” โดยผ่านการสถาปนา “ความเป็นใหญ่ทางอุดมการณ์” (hegemony) แบบใหม่ ที่จะมาแทนที่ “การเมืองเก่า” และ “สังคมเก่า” ซึ่งตกอยู่ภายใต้การครอบงำทางอุดมการณ์ของ “ความเป็นใหญ่” ทางอุดมการณ์” แบบเก่า ของชนชั้นนำเก่านั่นเอง
จะเห็นได้ว่า แนวทางทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ-สังคมของพรรคการเมืองใหม่ของพันธมิตรฯ ที่เกิดจากการรวมตัวของเหล่าปัญญาชนออแกนิก จึงต้องมียุทธศาสตร์ระยะยาวเพื่อสถาปนาความเป็นใหญ่เชิงอุดมการณ์ (hegemony) และจะต้องเตรียมการเข้าไปบริหาร และชี้นำประเทศด้วยตนเอง เพื่อบรรลุภารกิจศักดิ์สิทธิ์ และภารกิจทางประวัติศาสตร์ของพันธมิตรฯ ที่ไม่เพียงแต่จะต้องโค่นล้มหรือกำจัดระบอบทักษิณเท่านั้น แต่ต้องเข้าไป “ล้างไพ่” การเมืองไทยครั้งใหญ่ทั้งระบบ และสถาปนา “การเมืองใหม่” ขึ้นมาด้วยน้ำมือของพันธมิตรฯ เอง
ไม่ว่าจะเป็นยุทธศาสตร์ระยะยาว หรือยุทธวิธีเฉพาะหน้า เหล่าปัญญาชนออแกนิกของพันธมิตรฯ ทั้งที่อยู่ในพรรคและอยู่นอกพรรค ล้วนมีบทบาทหน้าที่ในการผลักดัน สามโครงการใหญ่ เหมือนกันทั้งสิ้น นั่นคือ โครงการปฏิรูปเสรีนิยม โครงการปฏิรูปประชาธิปไตย และโครงการเปลี่ยนแปลงเชิงลึก เพราะการผลักดันสามโครงการใหญ่ข้างต้นนี้อย่างบูรณาการ เป็นหัวใจของความเป็นปัญญาชนออแกนิกของประเทศนี้อยู่แล้ว เพียงแต่การที่เหล่าปัญญาชนออแกนิกได้ร่วมกันก่อตั้งและสร้างพรรคการเมืองของพวกตนขึ้นมาโดยได้รับการสนับสนุนจากมวลมหาประชาชน จักเป็นอาวุธหรือเครื่องมือชิ้นสำคัญอันทรงพลังที่ไม่เพียงแต่จะช่วยให้การสถาปนา ความเป็นใหญ่เชิงอุดมการณ์ ทำได้ง่ายขึ้นเท่านั้น หากแต่ยังทำให้ พวกเรา มีความชอบธรรมทางการเมืองที่จะเข้าสู่อำนาจรัฐเพื่อเข้าไปบริหารประเทศ และชี้นำประเทศด้วยตนเองได้อีกด้วย
พรรคการเมืองใหม่ของพวกเราชาวพันธมิตรฯ จะสถาปนาความเป็นใหญ่เชิงอุดมการณ์ได้จักต้องมี ฐานราก ที่เข้มแข็ง 3 ฐานเข้ามารองรับก่อน
ฐานรากที่หนึ่ง คือ ฐานมวลชน หมายถึงพรรคของพวกเราจักต้องได้รับความสนับสนุนจากมวลมหาประชาชนอย่างล้นหลาม และอย่างสุดจิตสุดใจเหมือนอย่างที่ขบวนการพันธมิตรฯ เคยได้รับมาแล้ว
ฐานรากที่สอง คือ ฐานอุดมการณ์ หมายถึง อุดมการณ์ทางการเมืองของชาวพันธมิตรฯ และของพรรคของพวกเราจักต้องเป็นการบูรณาอุดมการณ์เพื่อการปฏิรูปเสรีนิยมกับอุดมการณ์เพื่อการปฏิรูปประชาธิปไตย และอุดมการณ์เพื่อการเปลี่ยนแปลงเชิงลึกเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืนเพื่อ “ข้ามพ้น” (transcend) ทั้งทุนนิยมสามานย์ และอำมาตยาธิปไตย ให้จงได้
ฐานรากที่สาม คือ ฐานแห่งธรรม หมายถึง พรรคของพวกเราจักต้องเอาธรรมเป็นใหญ่ และใช้ธรรมนำหน้า โดยที่ผู้คนในพรรคของพวกเราและพี่น้องชาวพันธมิตรฯ ทุกคนควรให้ความสำคัญ และเห็นความสำคัญในเรื่องของ จิตวิญญาณ (spirituality) ว่ามีความหมายต่อชีวิต และต่อการสร้าง สันติประชาธรรม ให้บังเกิดขึ้นในบ้านเมืองนี้
เพราะฉะนั้น แนวทางเศรษฐกิจ ของพรรคการเมืองใหม่ของพันธมิตรฯ ก็ย่อมต้องออกมาจากกรอบคิดหรือฐานคิดว่าด้วยการผลักดัน 3 โครงการใหญ่ของเหล่าปัญญาชนออแกนิกดังข้างต้นเช่นกันด้วย ซึ่งผมจะขอเรียกมันว่า ฐานคิดว่าด้วยหลักนโยบาย 3 ปฏิรูปของพรรคการเมืองใหม่ โดยที่หลักนโยบาย 3 ปฏิรูปของพรรคการเมืองใหม่นั้น จะมีแนวทางคร่าวๆ ดังต่อไปนี้
หลักนโยบายปฏิรูปที่หนึ่งของพรรคการเมืองใหม่ คือ แนวทางปฏิรูปเสรีนิยม นโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมืองใหม่ของพันธมิตรฯ จะให้ความสำคัญกับ การปฏิรูปเสรีนิยมเป็นอันดับแรก เพื่อขจัดปัญหาคอร์รัปชันหรือการแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจของพวกนักการเมือง นักธุรกิจ และเทคโนแครตในกระบวนการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจของรัฐ โดยที่พรรคการเมืองใหม่ของพวกเราจะยึดหลักความโปร่งใส หลักธรรมาภิบาล และหลักการแข่งขันอย่างเป็นธรรมเป็นที่ตั้ง
ขณะเดียวกัน พรรคการเมืองใหม่ของพวกเราก็จะส่งเสริม ทุนขนาดกลางและทุนขนาดย่อม ให้เติบโตอย่างยั่งยืนในสังคมนี้ต่อไปได้ โดยที่พรรคการเมืองใหม่ของพวกเราก็จะสนับสนุน ทุนใหญ่ ให้เติบโตอย่างมีพลวัตอย่างสามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้
แต่ทั้งนี้ ทุนใหญ่ จะต้องเติบโตอย่างไม่ไปเบียดเบียน ทุนเล็ก นอกจากนี้ พรรคการเมืองใหม่ของพวกเรา จักส่งเสริม ทุนท้องถิ่น ให้มีศักยภาพในระดับชาติ และจะช่วยปกป้องสิทธิในการทำมาหากินของ ทุนเล็ก เพื่อความเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรอบด้าน และทั่วด้าน
หลักนโยบายปฏิรูปที่สองของพรรคการเมืองใหม่ คือ แนวทางปฏิรูปประชาธิปไตย นโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมืองใหม่จักให้ความสำคัญกับ การปฏิรูปประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ ทั้งในมิติเชิงสถาบัน มิติหน่วยชุมชน และมิติการบริหารส่วนภูมิภาคอย่างไม่ด้อยไปกว่า การปฏิรูปเสรีนิยม ที่ได้กล่าวไปแล้ว เพราะพรรคการเมืองใหม่ของพันธมิตรฯ มีความเชื่อมั่นว่า มีแต่การดึงประชาชนให้เข้ามามีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้นในทุกระดับ ทุกส่วนของสังคมอย่างกระตือรือร้น และอย่างมีเป้าหมายเพื่อ “สร้างชาติใหม่” ร่วมกันเท่านั้น จึงจะสามารถดึงศักยภาพของคนไทยทั่วทั้งประเทศออกมาอย่างสร้างสรรค์ และทำให้เกิดการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ทางเศรษฐกิจ ยกระดับประสิทธิภาพการแข่งขัน เพิ่มผลิตภาพในการทำงานอย่างสร้างสรรค์ และปูทางไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนสืบไปได้
หลักนโยบายปฏิรูปที่สามของพรรคการเมืองใหม่ คือ แนวทางปฏิรูปเชิงลึกหรือการเปลี่ยนแปลงเชิงลึก (deep transformation) นโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมืองใหม่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนพรรคใดมาก่อน คือ จะให้ความสำคัญกับ หลักธรรมาธิปไตย และ หลักการยกระดับจิตแบบรวมหมู่ (level of collective consciousness) ตามโมเดลการพัฒนาแบบ เกลียวพลวัต (spiral dynamics) ในการผลักดันการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
เพื่อการนี้ พรรคการเมืองใหม่ของพันธมิตรฯ จะให้ความสำคัญกับ “การปฏิวัติการเรียนรู้” (learning revolution) ในหมู่ประชาชนทุกหมู่เหล่า โดยผ่าน การปฏิรูปสื่ออย่างครบวงจร และการสนับสนุนสื่อทางเลือกและรูปแบบการเรียนรู้ที่หลากหลายที่ประสานหลักธรรม หรือหลักการทางจิตวิญญาณ หรือหลักการว่าด้วยความจริง-ความดี-ความงาม ควบคู่ไปกับการเรียนรู้ ให้เกิดขึ้นทั่วทุกหนแห่งบนแผ่นดินนี้
พร้อมกันนั้น พรรคการเมืองใหม่ของพวกเราจะผลักดันให้เกิด การปฏิรูปชุมชนเข้มแข็งเพื่อเศรษฐกิจพอเพียง ให้เกิดขึ้นในแต่ละชุมชนที่มีศักยภาพเพียงพอในแต่ละภาคของประเทศ เพื่อเป็น ชุมชนตัวอย่าง สำหรับ เศรษฐกิจแห่งอนาคต ที่คำนึงถึงระบบนิเวศ ความอยู่ดีมีสุข ความมีคุณธรรม จริยธรรมของชุมชน ความก้าวทันโลกแต่ก็ไม่ลืมว่ารากเหง้าทางวัฒนธรรมของตัวเองด้วย