พุทธบูรณา รำลึก 100 ปีชาตกาล สืบสานปณิธานพุทธทาส (ตอนที่ 12)
12. ธารน้ำไหล
"สวนโมกข์ ดินแดนอารยธรรมทางวิญญาณ ดินแดนที่ต้นไม้พูดได้ ก้อนหินแสดงธรรม ไม่อาจไปด้วยกาย ต้องเข้าถึงด้วยใจ"
กวีวงศ์
ปี พ.ศ. 2486 เป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่อีกครั้งของสำนักปฏิบัติธรรมของอินทปัญโญ งานพูดและงานเขียนหนังสือที่อินทปัญโญได้กระทำติดต่อมาตลอดสิบปีนี้ เริ่มเป็นที่สนใจของคนวงกว้างออกไปทุกที มีภิกษุสามเณร และผู้ศึกษาธรรมะฝ่ายฆราวาสเริ่มเดินทางมาแสวงธรรมและปฏิบัติธรรมที่สวนโมกข์ (เก่า) ที่พุมเรียงมากขึ้น จนสถานที่ปฏิบัติธรรมแห่งนี้เริ่มคับแคบลง
ประกอบกับช่วงนั้น อินทปัญโญกับคณะธรรมทานมีความคิดที่จะสร้างสโมสรธรรมทานเป็นสถานที่อบรมสั่งสอนประชาชนที่วัดชยาราม ซึ่งประชาชนสะดวกในการมามากกว่าสวนโมกข์พุมเรียง จึงมีการระดมผู้คนออกไปสำรวจในป่า เพื่อหาไม้มาสร้างสโมสรธรรมทาน พวกเขาเดินเข้าไปในป่าลึกต้องนอนค้างคืนในป่าคราวละหลายคืน เมื่อพบต้นไม่ใหญ่แล้วก็เลื่อยตัดไม้กลมทำเป็นไม้เหลี่ยม แล้วใช้ช้างลากออกมาจากป่ารกคราวละ 30-40 เหลี่ยม ซึ่งต้องใช้คนลากไม้ 40-50 คน โดยลากมากองไว้ริมทางใหญ่
อินทปัญโญเข้าไปเดินป่า นอนในป่ากับพวกลากไม้ด้วยทุกครั้ง นอกจากนี้เขายังไปช่วยหัดเลื่อยไม้ ถากไม้กับพวกเขาด้วย เขาสนใจวิธีหัดผูกเชือกให้ช้างลากไม้ออกมามาก เพราะมันเป็น ภูมิปัญญาชาวบ้าน อย่างหนึ่งที่ใช้ไม้เล็กๆ อันหนึ่งงัดคาดเชือกไว้ ซึ่งได้ผลมาก ช้างวิ่งอย่างไรก็ไม่หลุด
เวลานอนในป่า อินทปัญโญเลือกนอนตรงโคนไม้ โดยใช้ใบไม้มาปูลาดหนาๆ แล้วใช้รากไม้แทนหมอน อาจเป็นเพราะช่วงนั้นเป็นช่วงฤดูแล้ง จึงไม่มีใครที่เป็นไข้มาลาเรีย
ในช่วงที่อินทปัญโญไปดูแลการทำไม้ในป่านี่เอง ที่ตัวเขาต้องเดินผ่านที่แปลงหนึ่ง มีทางเดินยาวเฟื้อย มีภูเขาตรงกลาง และมีลำธารด้วยอินทปัญโญ ประทับใจกับที่แปลงนี้มาก เพราะมีบริเวณกว้างขวาง ร่มรื่น มีธารน้ำไหล เหมาะสมสำหรับการสร้างเป็นสำนักปฏิบัติธรรมแบบสวนโมกข์ตามอุดมคติของเขา อินทปัญโญจึงตัดสินใจซื้อที่บริเวณนั้นในนามของคณะธรรมทาน ซึ่งเมื่อรวมกับที่ที่ชาวบ้านบริจาคเพิ่ม ทำให้ได้เนื้อที่ทั้งสิ้นถึง 310 ไร่เศษ เนื่องจากที่แห่งใหม่ที่จะเป็น สวนโมกข์ใหม่ นี้ มีธารน้ำไหลผ่าน เมื่ออินทปัญโญต้องจดทะเบียนเป็นวัดตามระเบียบของทางการ เขาจึงตั้งชื่อวัดนี้ว่า วัดธารน้ำไหล ที่เขาจะย้ายมาพำนักอยู่อย่างถาวร จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตเขา
บริเวณแถบที่ วัดธารน้ำไหล ของอินทปัญโญมาตั้งอยู่นี้ เดิมทีผู้คนแถบนั้นเรียกกันว่า "ด่านน้ำไหล" เพราะมันเป็นช่องแคบสำหรับดักจับผู้ร้าย ถ้าผู้ร้ายจากทางเหนือจะไปใต้ หรือจากทางใต้จะไปเหนือก็ต้องผ่านช่องนี้ การเดินทางทางบกต้องผ่านช่องนี้ สมัยโบราณจึงใช้เป็นที่ดักจับผู้ร้าย เพราะด้านหนึ่งเป็นเขานางเอ อีกด้านหนึ่งเป็นที่ดินที่เป็นโคลนลึกลงไปไม่ได้ ตอนที่อินทปัญโญย้ายมาอยู่ที่วัดธารน้ำไหลใหม่ๆ บริเวณแถบนี้ยังมีสัตว์ป่าเหลืออยู่ตามสมควร อินทปัญโญเคยเห็น กวางป่า มีเขาตัวใหญ่เกือบเท่าม้ามากินลูกมะกอก เสือดาว ก็มีอยู่ตัวหนึ่งอยู่บริเวณนั้นตั้งแต่แรก เสือโคร่ง ก็มีมันมาจากทิศใต้เดินผ่านทางสาธารณะหน้าวัด เมื่ออินทปัญโญออกไปบิณฑบาตในตอนเช้า เขามักจะพบรอยเสือตามทางหน้าวัด เรื่อยไปจนถึงทางเข้าหมู่บ้านเขาน้ำผุดแล้วก็กลับเข้าป่าไป เขาก็เดินตามรอยเสือไปโดยไม่หวาดกลัวอะไร เพราะชาวบ้านแถบนี้ แม้แต่เด็กเล็กก็ไม่กลัวเสือด้วย
นอกจากนี้ บริเวณวัดธารน้ำไหลยังมี หมูป่า ฝูงหนึ่งราว 30 ตัว อาศัยอยู่ด้วย อีเก้ง ก็มาปรากฏให้เห็นตอนค่ำๆ ตะกวด ก็มียั้วเยี้ย นกกระเต็น ก็ออกมาเดินตามดินจิกไส้เดือนกิน
อินทปัญโญชอบบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติของสวนโมกข์ใหม่นี้มาก เขามักจะมาเดินเล่นชมธรรมชาติรอบๆ ในตอนเย็นเสมอ ก่อนจะลงไปสรงน้ำในธารน้ำไหล แล้วขึ้นมานั่งเจริญสมาธิภาวนาอยู่ที่ข้างลำธาร
เมื่ออินทปัญโญเข้ามาอยู่ที่วัดธารน้ำไหลแล้ว เขาพยายามสงวนต้นไม้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และพยายามให้มันคงสภาพธรรมชาติใหญ่โตร่มเย็นเอาไว้ เพื่อให้คนที่เข้ามาเยือนในบริเวณนี้ มาถึงก็รู้สึกเย็นเอง หยุดเอง สงบเอง ว่างเอง
นี่เป็น หลักการสร้างวัด ที่อินทปัญโญยึดถืออย่างเคร่งครัดว่า จะต้องจัดสรรไปในลักษณะที่พอเข้ามาในเขตนี้แล้ว จิตใจจะว่างเอง หยุดเอง สงบเองให้มากที่สุด เพราะฉะนั้น เขาจึงต้องคงสภาพต้นไม้ ก้อนหินต่างๆ เอาไว้ในลักษณะที่ช่วยให้เกิดความรู้สึกแบบนี้
มันเป็นความปรารถนาอย่างแรงกล้าของอินทปัญโญ ที่จะสร้างวัดธารน้ำไหลหรือสวนโมกขพลารามแห่งใหม่ของเขาให้เป็น ดินแดนอารยธรรมทางจิตวิญญาณ ที่มุ่งส่งเสริมให้ผู้คนที่มาเยือนมีความเข้าใจใน เรื่องของจิตวิญญาณ โดยเฉพาะเรื่อง ความที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร และเรื่อง การทำลายความเห็นแก่ตัว
เขาจะทำให้สถานที่แห่งนี้ ไม่ว่าจะนั่งตรงไหน ก็สามารถศึกษาเรื่องทางจิตวิญญาณได้ ไม่ว่าจะนั่งตรงไหนก็รู้สึกสบายใจ จนลืมเรื่องตัวกู-ของกู ความคิดชนิดนั้น ไม่มีอยู่ในจิตใจ ถึงไม่มีอะไรมายั่วยวน ก็สบายอกสบายใจได้ ด้วยความรู้สึกที่คลายจากความยึดมั่นถือมั่น
อินทปัญโญชอบนั่งเจริญสมาธิภาวนาบนพื้นดิน มาตั้งแต่อยู่ที่สวนโมกข์เก่าที่พุมเรียงแล้ว ที่นี่ก็เช่นกัน เขามักจะออกมานั่งสมาธิเจริญวิปัสสนาบนพื้นดินอยู่เนืองๆ เขาคิดอยู่เสมอว่า พระพุทธองค์ผู้เป็น คุรุ ของตัวเขาโดยตรง ก็ทรงประสูติ กลางดิน ตรัสรู้ กลางดิน และปรินิพพาน กลางดิน ชีวิตประจำวันโดยมากของพระพุทธองค์ก็ทรงอยู่ กลางดิน เป็นส่วนใหญ่ กุฏิของพระพุทธองค์ก็เป็นพื้นดิน
เพราะฉะนั้น เขาจึงคิดว่า การที่ตัวเขามานั่งปฏิบัติธรรมกลางดิน ก็ย่อมเหมือนกับมานั่งที่อาสนะอย่างเดียวกันกับพระพุทธองค์ และเป็นการเจริญรอยตามพระพุทธองค์ด้วย
ลองคิดดูสิว่า พระพุทธองค์ท่านประสูติกลางดินอย่างไร ที่สวนลุมพินี?
ลองนึกดูสิว่า พระพุทธองค์ท่านตรัสรู้กลางดินอย่างไรที่โคนต้นโพธิ์ ริมแม่น้ำ?
ลองจินตนาการดูสิว่า พระพุทธองค์ท่านปรินิพพานกลางดินอย่างไร ที่สวนป่าไม้สาละของพวกมัลลกษัตริย์?
ทั้งๆ ที่พระพุทธองค์ทรงเป็นกษัตริย์มาก่อน
การปฏิบัติธรรมบนพื้นดิน และการใช้ชีวิตประจำวันส่วนใหญ่บนพื้นดิน จึงมีความหมายที่ลึกซึ้งของการว่างจากความยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวกู-ของกู อย่างหนึ่ง และเป็นการสละคืนอย่างหนึ่งในด้านลึกของจิตวิญญาณ
อินทปัญโญมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะทำให้บริเวณแห่งธารน้ำไหลแห่งนี้ เป็น สถานที่อันเป็นกำลังแห่งความหลุดพ้น (สวนโมกขพลาราม) อย่างแท้จริง คำว่า โมกข์สั้นๆ มาจากคำบาลีว่า โมก-ข แปลง่ายๆ ว่า เกลี้ยง ไม่มีอะไรรัดรึง ภาษาธรรมะเรียกว่า หลุดพ้น
แนวคิดการสร้างสวนโมกข์ของอินทปัญโญ จึงเป็น การอยู่อย่างง่าย เพื่อให้พบ ความเกลี้ยงแห่งจิตใจ โดยที่ตัวเขามี หลักปฏิบัติ 7 ประการ ไว้ยึดปฏิบัติดังต่อไปนี้
(1) ศึกษาพุทธธรรมให้เข้าใจจนมีศรัทธาตั้งมั่นไม่หวั่นไหว โดยถือว่า ผู้ที่หลุดพ้นได้ ผู้นั้นถือว่าเป็น ผู้สูงสุด
(2) ระลึกถึงภาวะของความหลุดพ้นแห่งจิตของตนเป็นประจำ
โดยพยายามทำความสำเนียกศึกษาเรื่อง ความหลุดพ้นเป็นภารกิจหลักของชีวิต อีกทั้งพยายามให้เกิด ความรู้สึกที่เป็นความหลุดพ้นอยู่ในตนของตน ขึ้นมาจริงๆ ในชีวิตประจำวันของตนอยู่เสมอ
(3) เมื่อมีอันตรายหรืออุปสรรคแห่งมรรคเกิดขึ้นให้ระลึกถึงภาวะแห่งความหลุดพ้นของจิตที่ตัวเองได้เคยกระทำไว้อย่างชำนิชำนาญมาแต่กาลก่อนแล้ว
ทำให้ภาวะแห่งจิตชนิดนี้กลับมาให้จงได้ และมีสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์พร้อมที่จะเผชิญกับอันตรายหรืออุปสรรคต่างๆ
(4) เดินตามรอยพระพุทธองค์อยู่เป็นปกติ
น้อมนำคำสอนของพระพุทธองค์มาปฏิบัติอย่างจริงจัง และจริงใจ
(5) จะทำอะไรให้ถามพระพุทธองค์ก่อน
จะทำ จะพูด จะคิด จะตัดสินใจอะไร ต้องมีสติยับยั้งไว้เป็นระยะเวลาที่ล่วงไปพักหนึ่งราวกับไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แล้วทูลถามพระองค์เป็นเชิงปรึกษาก่อนว่าจะต้องทำอย่างไร โดยการทำเช่นนี้ก็จะมีสติสัมปชัญญะพอเพียงก็จะมีคำตอบออกมาเอง
(6) ละอายใจเมื่อล้มเหลว
เพื่อไม่ให้ทำผิดพลาดซ้ำอีก แม้จะเป็นความผิดพลาดที่เล็กน้อยก็ตาม
(7) ตรวจสอบในลักษณะที่เป็นการประเมินผลอยู่เสมอ
มีการตรวจสอบจิตใจเป็นประจำทุกวัน หลังจากสิ้นเวลาวันหนึ่งๆ ไปแล้วว่า มีความก้าวหน้าในทางธรรม หรือว่ากำลังถอยหลังในทางธรรม
อินทปัญโญเชื่อว่า หากปฏิบัติตนตามหลักปฏิบัติ 7 ประการข้างต้น ไม่ว่าผู้ใด ก็ย่อมสามารถที่จะมีชีวิตมีความเป็นอยู่ด้วย ความเกลี้ยงแห่งจิตใจ ได้
เพื่อบรรลุเป้าหมายอันนี้ อินทปัญโญมีความเห็นว่า คนเราควรจะมีชีวิตมีความเป็นอยู่ตามแบบของพระพุทธเจ้าในแง่ที่ว่า เป็นอยู่อย่างต่ำอย่างเรียบง่าย แต่มีการกระทำอย่างสูงสุด อย่างประเสริฐสุดเสมอ
หากทำได้เช่นนี้ คนผู้นั้นไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ที่นั้นย่อมกลายเป็น "สวนโมกขพลาราม" ของตัวเขา เหมือนอย่างที่ ธารน้ำไหล ได้กลายมาเป็นสวนโมกขพลารามแห่งใหม่ของอินทปัญโญ สวนโมกข์ที่แท้ จึงไม่ใช่สถานที่ทางกายภาพมากเท่ากับ วิถีแห่งการดำเนินชีวิต แบบ "เป็นอยู่อย่างต่ำ แต่มีการกระทำอย่างสูงสุด" จึงไม่แปลกที่ บางคนมาถึงสวนโมกข์แล้วกลับไม่รู้จักสวนโมกข์ เข้าไม่ถึงสวนโมกข์ แต่บางคนถึงไม่เคยไปสวนโมกข์กลับอยู่ในสวนโมกข์เสมอในเบื้องลึกแห่งจิตวิญญาณของเขา