ธรรมบูรณา ภารกิจศักดิ์สิทธิ์กับบทเรียนการกู้ชาติทางจิตวิญญาณของ ศรี อรพินโธ (ตอนที่ 24)
24. ยุทธการชนฟ้า (ต่อ)
...วันศุกร์ที่ 14 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2549
ณ หอประชุมโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) จังหวัดนครนายก
“ทหารแก่ไม่เคยตาย มีแต่จางหายไป” วาทะอมตะนี้ผู้ที่เป็นนักรบทุกคนล้วนรู้จักกันดี พวกเขาย่อมรู้ดีว่า นักรบไม่เคยตาย และวิญญาณแห่งความเป็นนักรบไม่เคยหมดไปพร้อมกับสังขารที่ร่วงโรย อย่างดีพวกเขาก็แค่ค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คนในสังคมเท่านั้น แต่วิญญาณความเป็นนักรบของพวกเขาไม่เคยตาย และไม่เคยสูญหายไปไหน
ณ ห้วงยามนี้ ไม่มีบุคคลใดที่สะท้อน อมตะวาจา ข้างต้นได้ดีเท่ากับ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษคนนี้อีกแล้ว พล.อ.เปรม หรือ “ป๋าเปรม” ของคนส่วนใหญ่ท่านเคยเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีถึง 5 สมัย รวมเวลาถึง 8 ปี 5 เดือนเต็มจากช่วง พ.ศ. 2523-2531
ในท่ามกลางสถานการณ์ที่ “ยุทธการชนฟ้า” อันเริ่มต้นมาจากถ้อยคำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีเรื่อง “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” ก่อให้เกิดภาวะคุกรุ่น และยังไม่จางหายไป การบรรยายของ พล.อ.เปรมที่ไปบรรยายพิเศษให้กับนักเรียนนายร้อย โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ชั้นปีที่ 1-4 จำนวน 950 นาย ในหัวข้อ “ทหารอาชีพกับทหารมืออาชีพ” จึงแทบไม่ต่างไปจาก “ปฏิบัติการเอาคืน” แต่อย่างใด
เพราะบางตอนในการบรรยายของ ‘นักรบ’ ผู้เป็นรัฐบุรุษ และประธานองคมนตรีท่านนี้ได้กล่าวออกมาอย่างเน้นย้ำ และชัดเจนไม่มีอ้อมค้อมว่า
“เรื่องสำคัญที่อยากให้ได้ยินและเข้าใจว่า เราเป็นทหาร เป็นทหารของชาติ เป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อคราวที่ไปพูดที่อื่นทำนองนี้ก็มีคนเถียงว่า ถ้าอย่างนั้นรัฐบาลก็สั่งไม่ได้น่ะสิ คนที่เถียงนี้ เขาอาจจะไม่เข้าใจเรื่องทหารเลย หรือเขาไม่ชอบหน้าพวกเราก็ได้...”
“อยากจะยกตัวอย่างให้เห็นชัดว่า ความสัมพันธ์ระหว่างทหารกับรัฐบาลนั้น ก็เหมือน ม้า กับ จ๊อกกี้ หรือ เด็กขี่ม้า โดยปกติในการแข่งม้า ม้าจะมีคอก มีเจ้าของคอก เจ้าของคอกก็เป็นเจ้าของม้า เวลาไปแข่ง เขาก็ไปเอา จ๊อกกี้ โดยจ้างให้มาขี่ม้า แต่เขาไม่ได้เป็นเจ้าของม้า เขาเป็นแค่คนขี่เท่านั้น”
“รัฐบาลก็เหมือนกับจ๊อกกี้ คือเข้ามาดูแลทหาร แต่ไม่ใช่เจ้าของทหาร เจ้าของทหารคือชาติและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัฐบาลเขามาดูแลกำหนดใช้ พวกเราตามที่ประกาศนโยบายไว้ต่อรัฐสภา”
“เด็กขี่ม้าบางคนก็ขี่ดี ขี่เก่ง บางคนก็ไม่ดี ขี่ไม่เก่ง รัฐบาลก็เหมือนกัน รัฐบาลบางรัฐบาลก็ทำงานดี ทำงานเก่ง บางรัฐบาลก็ทำงานไม่ดี ไม่เก่งก็มี นี่เป็นเรื่องจริง”
พร้อมกันนั้น พล.อ.เปรม ก็พูดออกตัวว่า ท่านไม่ได้ตำหนิรัฐบาลนี้ และไม่อยากให้ผู้ฟังรู้สึกไม่ดีต่อรัฐบาลนี้ เพียงแต่ท่านต้องการให้แยกแยะให้ออก โดยต้องถือว่า ทหารอย่างเราเป็นทหารของชาติ ส่วนรัฐบาลเข้ามาแล้วก็ไป ทหารอย่างเราเป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และจะเป็นอย่างนั้นโดยตลอดชีวิต
เพราะ “The old soldier never die” (ทหารแก่ไม่เคยตาย)
“...เราเมื่อเป็นทหารหรือนักรบครั้งหนึ่งแล้ว จะต้องเป็นทหารไปตลอดชีวิต ไม่ใช่ว่าเกษียณแล้วเลิกเป็น หรือลาออกแล้วเลิกเป็น เพราะคนที่เป็นทหารหรือนักรบนั้น ต้องเป็นทหารด้วยเลือดเนื้อ วิญญาณ จิตใจ ทุกอย่างอยู่ในสายเลือด ดังนั้น เมื่อเราเป็นทหารครั้งหนึ่งแล้ว เราต้องเป็นทหารไปจนตาย”
ก่อนจบการบรรยาย พล.อ.เปรม ยังให้โอวาทนักเรียนนายร้อยเรื่อง คนเลวกับกิเลส อีกว่า
“นักเรียน จปร.ต้องเป็นคนดี ต้องไม่ยอมเป็นคนเลวเป็นอันขาด คนที่เป็นคนเลว คนไม่ดีก็เพราะมีกิเลส...นักเรียน จปร.ต้องเป็นคนบริสุทธิ์ เหมือนแก้วไม่มีด่างพร้อย ต้องสง่างาม ต้องกล้าหาญทั้งกายและใจ กล้าจะเผชิญ กล้ายอมรับความจริง และไม่หวั่นกลัวที่จะทำความดี”
* * *
ภายหลังการบรรยายของ พล.อ.เปรม ในวันนั้นแล้ว ทหารกล้า ที่เป็นนายทหารใหญ่ระดับแม่ทัพกองทัพภาคที่ 3 อย่าง พล.ท.สพรั่ง กัลยาณมิตร (เตรียมทหารรุ่นที่ 7) ก็เปิดฉากตอบโต้ “ยุทธการชนฟ้า” อย่างเปิดเผยทันที
พล.ท.สพรั่ง เริ่มเดินสายออกมาแสดงท่าทีของ “ทหารอาชีพ” และ “ทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” อย่างชัดเจนต่อสาธารณะตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม 2549 แล้ว แต่ยังไม่ปรากฏเป็นข่าว และยังไม่ได้รับการจับตาจากสังคมภายนอกมากนัก แต่ภายหลังจากที่ พล.ท.สพรั่ง ลั่นวาจา “ทหารเลว” เพื่อบริภาษนายทหารรุ่นน้องที่เป็นเตรียมทหารรุ่น 10 รุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้วไปสอพลอนายกฯ ทักษิณ เพื่อแลกกับตำแหน่งชื่อของทหารกล้าผู้นี้ ก็ติดปากผู้คนอย่างรวดเร็วตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2549 เป็นต้นมา
ยิ่งในวันที่ 25 กรกฎาคม 2549 ที่ พล.ท.สพรั่ง มีเหตุให้ต้องเปิดใจและประกาศอุดมการณ์รักชาติอีกครั้ง เมื่อมีกลุ่มประชาชนจากหลายจังหวัดเดินทางมามอบดอกไม้ และอาหารทะเล ณ ห้องประชุมสโมสรบันเทิงทัพ ค่ายสมเด็จพระนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก เพื่อเป็นกำลังใจให้ พล.ท.สพรั่ง ที่แสดงจุดยืนชัดเจนว่า เป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ใช่ทหารการเมืองหรือทหารเลวที่รับใช้นักการเมือง
พล.ท.สพรั่ง พูดกับกลุ่มประชาชนเหล่านั้นอย่างชัดเจนว่า “เราอย่าไปก้มหัวให้แก่คนเลว ข้าราชการเลว นักการเมืองเลว แต่ ผมก้มหัวให้แด่พระเจ้าอยู่หัว พร้อมที่จะตายและปกป้องพระองค์ท่าน...”
“ใครที่บังอาจ กัดเซาะ พระองค์ท่านทุกวันนี้ ผมท้าเลยว่าข้ามศพผมไปก่อน ขอประกาศให้รู้เลยว่า ต่อศัตรูที่น่ากลัวที่สุด ผมจะโหดเหี้ยมกับศัตรูที่ทำร้ายชาติกับพระมหากษัตริย์"
“...ศัตรูของประเทศ กำลังเริ่มตอบโต้แล้วทุกวิถีทาง ผมขอบอกว่า สงครามครั้งนี้ แค่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น กองทัพภาคที่ 3 ทราบดีอยู่แล้วว่า ใครที่คิดทำร้ายบ้านเมือง โดยเฉพาะคนที่กำลังล้มล้างระบอบกษัตริย์ ถ้าใครคิดร้ายต่อพระเจ้าแผ่นดิน เลือดต้องนองแผ่นดินอย่างแน่นอน แต่รับรองว่าต้องไม่ใช่เลือดของผม แต่ต้องเป็นเลือดของคนทำชั่วเท่านั้น”
ก่อนหน้าการเคลื่อนไหวของ ทหารกล้า อย่าง พล.ท.สพรั่ง เพียงไม่กี่วัน พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก ร่วมกับแม่ทัพภาคที่ 1 พล.ท.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ได้มีคำสั่ง “ย้ายฟ้าแลบ” หน่วยคุมกำลังระดับ ผบ.พัน 38 อันเป็นกองพันซึ่งอยู่ในสายของเตรียมทหารรุ่น 10 พ้นจากกรุงเทพฯ
ท่าทีแข็งกร้าวของแม่ทัพภาคที่ 3 อย่าง พล.ท.สพรั่ง การโยกย้าย ผบ.กองพันในกองทัพภาคที่ 1 และ คมวาทะ ของพล.อ.เปรม เรื่อง “ทหารเป็นของชาติ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ล้วนเป็นความเคลื่อนไหวที่เชื่อมโยงกันในเชิง “ตอบโต้” ยุทธการชนฟ้า ของอีกฝ่ายหนึ่งทั้งสิ้น
สถานการณ์ในขณะนั้นได้ เคลื่อนย้าย จากสถานการณ์ลุกขึ้นสู้ของ พลังประชาชน ที่ต่อต้านระบอบทักษิณที่ดำเนินไปอย่างเข้มข้นตั้งแต่เดือนกันยายน 2548 ถึงต้นเดือนเมษายน 2549 ไปสู่ สถานการณ์เผชิญหน้ากันระหว่างขั้วอำนาจสองขั้ว ที่เริ่มปรากฏเค้าลางให้เห็นอย่างชัดเจนขึ้นตามลำดับแล้ว
“ทหารแก่ไม่เคยตาย” คมวาทะนี้เป็นจริงเสมอในสังคมไทย และขอเสริมด้วยว่า “ปัญญาชนนักรบก็ไม่เคยตายไปจากสังคมไทยด้วยเช่นกัน”
ปัญญาชนที่แท้จริง นั้นต้องเป็น นักรบ ด้วยเสมอ เพราะ ปัญญาชนที่แท้จริง นั้นไม่เคยเป็นแค่ ผู้ชม แต่ย่อมเป็น นักรบแห่งมโนธรรม ด้วยเสมอ แต่ศัตรูที่แท้จริงของพวกเขาในทุกยุคทุกสมัยคือ ความทุกข์ร้อนของบ้านเมือง
ชีวทัศน์ การกระทำ จิตสำนึก และปณิธานของ ปัญญาชนนักรบ ย่อมเปี่ยมไปด้วยพลังเสมอ เพราะพวกเขายืนหยัดต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม และความจริง-ความดี-ความงามของบ้านเมืองเสมอมา
สำหรับ ปัญญาชนนักรบ แล้ว ในช่วงแต่ละขณะของกาลเวลาคือ ห้วงยามแห่งความจริงแท้ของชีวิต มีแต่ปัจจุบัน มีแต่ชั่วขณะนี้เท่านั้นที่เป็นจริง เป็นของจริง โดยที่การผ่านผันไปของกาลเวลา ของอดีต และของอนาคต จะกลายเป็นสิ่งที่ไร้ความหมายไปอย่างสิ้นเชิง หรือกลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจมาก่อกวนใจ ปัญญาชนนักรบ ให้กังวลได้อีกต่อไป
เพราะ ปัญญาชนนักรบ ทำได้เช่นนั้น พวกเขาจึงสามารถบรรลุ เสรีภาพแห่งปฏิบัติการ ที่เป็นอิสระอย่างแท้จริงของพวกเขาได้ และยังสามารถปลดปล่อยพลังงานอันมหาศาล และสร้างสรรค์ที่แฝงเร้นอยู่ในตัวพวกเขาออกมาได้อย่างเปี่ยมล้นราวกับไม่มีวันเสื่อมสิ้น
“ทหารแก่ไม่เคยตาย ปัญญาชนนักรบก็ไม่เคยตาย”