ธรรมบูรณา ภารกิจศักดิ์สิทธิ์กับบทเรียนการกู้ชาติทางจิตวิญญาณของ ศรี อรพินโธ (ตอนที่ 14)
14. โลกของนักกลยุทธ์
...วันอาทิตย์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2549 ณ เมืองกุ้ยหลิน ประเทศจีน
“เธอไม่เห็นรึ? สายน้ำของแม่น้ำเหลืองที่ไหลมาจากฟากฟ้าถาโถมลงสู่ทะเลแล้วไม่มีวันหวนกลับ
เธอไม่เห็นรึ? หญิงงามผู้พำนักอยู่บนปราสาทสูงที่เฝ้ามองกระจกแล้วเศร้ารันทดกับความขาวของเส้นผมตนเอง
ยามเช้าที่สดใสดุจหญ้าเขียวขจี แต่ยามพลบค่ำกลับขาวโพลนดุจหิมะ”
สนธิ ลิ้มทองกุล รำลึกถึงบทกวีข้างต้นของ หลีไป๋ มหากวีแห่งราชวงศ์ถังของจีน ด้วยจิตใจที่สะทกสะท้านขณะที่ตัวเขายืนอยู่บนดาดฟ้าเรือที่กำลังล่องเอื่อยๆ ไปตามสายน้ำใสของแม่น้ำหลีเจียงที่ขนาบข้างด้วยขุนเขาน้อยใหญ่ สูงๆ ต่ำๆ สลับกันไป
กุ้ยหลินในช่วงต้นเดือนเมษายนกำลังเย็นสบาย เมืองอันสงบบนฝั่งแม่น้ำหลีเจียงเมืองนี้มีชื่อเสียงในแง่ความงดงามมาตั้งแต่โบราณแล้ว ฮั่นหยู ปราชญ์ในสมัยราชวงศ์ถัง เคยกล่าวกวีอมตะไว้บทหนึ่งที่บรรยายความงดงามของทิวทัศน์ที่นี่ไว้ว่า
“แม่น้ำนี้งดงามราวสายเข็มขัดไหมสีมรกต
ส่วนภูผานั้นเล่าเป็นดั่งจุฑามณีสีหยก”
ความที่พื้นที่ของเมืองกุ้ยหลินโดยรอบประกอบด้วยภูเขาน้อยใหญ่ที่ผ่านการกัดกร่อนของกาลเวลากว่าสองหมื่นเจ็ดพันยอด จึงมีรูปร่างแปลกตามากมาย จึงไม่แปลกที่เมืองนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นสถานที่ที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองจีน เพราะมันเป็นเมืองที่โอบล้อมไปด้วยเทือกเขาหินปูนอันสลับซับซ้อน ปกคลุมไปด้วยหมู่แมกไม้อันเขียวชอุ่ม และเคียงคู่อยู่กับแม่น้ำหลีเจียงอันงดงาม
จึงไม่แปลกที่ สนธิ ปลีกตัวจากประเทศไทย มาพักผ่อนที่นี่เพื่อเติมพลังจากธรรมชาติเพียงลำพัง เพราะก่อนหน้านี้ในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2548 หลังรายการเมืองไทยรายสัปดาห์เพิ่งถูกถอดจากช่อง 9 สนธ ก็เคยบินไปรับพลังจากธรรมชาติที่ยอดเขาหิมะมังกรหยก ณ มณฑลยูนนาน มาแล้ว
ในครั้งนั้น เขายืนอยู่บนยอดเขาตระหง่าน มองออกไปสุดขอบฟ้า เขาชมชอบมองออกไปจากภูเขา เพราะมันทำให้เขารู้สึกใกล้ชิดกับฟ้าดินยิ่งกว่ายืนในที่แห่งอื่นใด ยามนั้นลมภูเขาพัดกรูโชยพัดใส่ตัวเขาตลอดเวลา แต่คนกลับมั่นคงดั่งหินผา เขาสูดรับพลังจากธรรมชาติเข้ามาอย่างเต็มเปี่ยม เพื่อมาต่อสู้กับทักษิณ
สนธิ เป็นคนที่ไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา หากสบโอกาสเมื่อไหร่ เขาจะเป็นคนกำหนดชีวิตของตนเอง “สื่อผู้จัดการ” เป็น “พื้นที่” ที่ฟ้าประทานให้แก่ตัวเขา เขาจะใช้สื่อนี้เป็นอาวุธวิเศษทำการสัประยุทธ์กับระบอบทักษิณจนถึงที่สุด นี่คือ คำปณิธานที่เขาให้ไว้กับตัวเองในวันนั้น
ในครั้งนี้ สนธิ เลือกมาพักผ่อนและรับพลังจากธรรมชาติที่นี่ ความงดงามของแม่น้ำหลีเจียงยามเช้าช่วงที่ไหลผ่านไปตามทิวทัศน์ของขุนเขาน้อยใหญ่ มันช่างเกินคำบรรยายเสียเหลือเกิน เขาแลเห็นภูเขาหินอันสลับซับซ้อนหลายแห่งที่มีหมอกบางๆ ปกคลุมยอดเขา และมีเงาสะท้อนประดับทับบนสายน้ำ
ขุนเขา ท้องฟ้า และก้อนเมฆที่กลายเป็นภาพสะท้อนน้ำกลับหัวขนาดใหญ่ เป็นความงดงามราวกับภาพวาดที่น่าตะลึงลานจนแทบลืมเลือนหายใจ และเป็นความทรงจำประทับใจที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจของสนธิ ประหนึ่ง ภาพฝันบนสวรรค์แห่งสายน้ำ
ชีวิตใจความเป็นจริงอันโหดร้าย!
สนธิ เพิ่งผ่านสมรภูมิรบอันดุเดือดเลือดพล่านมาแค่เมื่อวานนี้พลันได้พานพบ ภาพฝันบนสายน้ำ แห่งแม่น้ำหลีเจียง เขาพลันนึกอยากให้แง่งามของความฝันนี้เติมเต็ม ความจริงที่โหดร้าย แม้เพียงชั่วยามก็ยังดี ก่อนที่ตัวเขาจะบินกลับไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่ประเทศของเขาอีกครั้งในค่ำคืนนี้
เรื่องราวต่างๆ ในช่วงหลายเดือนมานี้ผ่านวูบเข้ามาในห้วงสมองของ สนธิ ดุจประกายไฟ นับตั้งแต่ที่ตัวเขาตัดสินใจ จุดเทียนแห่งปัญญา ลุกขึ้นสู้กับระบอบทักษิณอย่างเอาเป็นเอาตาย เมื่อเจ็ดเดือนก่อนทั่วทั้งแผ่นดินไทยเหมือนถูกม้วนเข้าสู่ความเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ส่งผลต่อทุกผู้คน ที่แท้การทำศึกครั้งนี้เป็นผู้ใดจะได้รับชัยชนะขั้นสุดท้าย? มีแต่ฟ้าเท่านั้นที่ทราบ
ในช่วงหลายเดือนมานี้ สนธิ ตกอยู่ในจุดศูนย์กลางของลมพายุแห่งความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยและของยุคสมัย เขาเดินโต้คลื่นของการเปลี่ยนพลิกสถานการณ์โดยรวมอย่างเด็ดเดี่ยว ความสำเร็จหรือความล้มเหลวในการต่อสู้ของเขาและพรรคพวกพันธมิตรฯ จะส่งผลกระทบต่ออนาคตของสังคมการเมืองของประเทศนี้อย่างแน่นอน
หลังจากผ่านการกรำศึกที่ยืดเยื้อมาได้ สนธิ มีบุคลิกภาพที่เหนือกว่ากาลก่อน วันเวลาหลายเดือนที่ผ่านมานี้ได้เคี่ยวกรำตัวเขาจนมีบุคลิกภาพเยี่ยงนี้ได้
ไม่ว่าจะมองจากมุมใดคงเป็นการยากที่จะปฏิเสธว่า สนธิ คือ บุคคลพิเศษ ผู้หนึ่งที่มีประสาทสัมผัสและมุมมองต่อวัตถุเรื่องราวที่ต่างจากผู้คนธรรมดาทั่วไป มันเป็น “ภารกิจศักดิ์สิทธิ์” ของตัวเขาที่จะต้องใช้ความสามารถพิเศษอันนี้ สื่อสารกับผู้คน และให้สติปัญญาแก่ผู้คนอย่างเต็มกำลัง และอย่างดีที่สุดเท่าที่ตัวเขาจะทำได้
ความสนใจและศึกษาประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ้งทำให้ โลกของสนธิ แตกต่างไปจาก โลกของบุคคลทั่วไป เขานึกถึงคำพูดประโยคหนึ่งของ เกอเธ่ กวีชาวเยอรมัน ที่เคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า
“ผู้ที่ไม่สามารถเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับประวัติศาสตร์ในรอบสามพันปีได้ ผู้นั้นจะต้องหาเช้ากินค่ำตลอดไป”
คงไม่เป็นการกล่าวเกินเลยนัก ถ้าจะบอกว่า คำพูดประโยคนี้ของเกอเธ่ที่ สนธิ ได้อ่านเจอในขณะที่กำลังเป็นนักศึกษาในต่างประเทศ มันได้เปลี่ยนเส้นทางชีวิตหลังจากนั้นของ สนธิ อย่างตลอดกาล เพราะในสายตาของเขา มันช่างเป็นสภาพที่น่าเศร้าเหลือเกิน หากเขาเป็นได้แค่ “คนหาเช้ากินค่ำตลอดไป” แม้ว่าจะได้เงินเดือนที่สูงมากแค่ไหนก็ตาม เพียงเพราะเขาไม่รู้จักรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ของตัวเอง และเพียงเพราะเขาไม่สามารถเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับประวัติศาสตร์ในรอบสามพันปีได้
“ไม่! ตัวเราจะต้องไม่จบชีวิตของเรา แค่เป็นคนหาเช้ากินค่ำตลอดไปเช่นนั้น” นี่คือ ปณิธานในวัยหนุ่มของ สนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งตัวเขาก็ได้ใช้ชีวิตสามสิบกว่าปีหลังจากนั้นของเขาตามปณิธานเช่นนั้นจริงๆ
เขาเคยเป็นแค่คนธรรมดาๆ คนหนึ่งเช่นเดียวกับคนอื่น แต่การที่ตัวเขาได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ และรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ของตัวเองอย่างกระตือรือร้นตลอดชีวิตของเขาหลังจากนั้น มันได้ช่วยทำให้เขา “พิเศษ” ขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
สนธิ ได้ใช้การ บูรณา ตัวเองเข้ากับ ประวัติศาสตร์ในรอบสามพันปี เป็นหนทางทำให้ตัวเขากลายเป็น มนุษย์ที่แท้
สนธิ ได้ใช้การ โยงใย เข้ากับ รากเหง้าทางประวัติศาสตร์ ของตัวเองเป็นหนทางทำให้ตัวเขาเป็นอะไรที่มากกว่า “ลิงเปลือย” หรือเป็นอะไรที่มี “ความหมาย” มากกว่า แค่ “หาเช้ากินค่ำตลอดไป” แม้จะได้เงินเดือนสูงมากแค่ไหนก็ตาม
คนเราอาจมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้เพียงไม่กี่สิบปี แต่ ถ้าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติได้เชื่อมโยงจนเป็นหนึ่งเดียวกับประวัติศาสตร์แห่งจิตใจของคนผู้นั้นด้วย นั่นก็หมายความว่า คนผู้นั้นได้มีอายุเป็นพันๆ ปีมาแล้ว
ยิ่งถ้าคนผู้นั้นสามารถฝึกฝนตน บำเพ็ญเพียรทางจิต ตลอดจนหมั่นศึกษาเชื่อมโยงตัวเองเข้ากับ ประวัติศาสตร์ของจักรวาฬ (Kosmos) นับล้านๆ ปี จนเป็นหนึ่งเดียวกับ ประวัติศาสตร์แห่งจิตวิญญาณ (spirit) ของคนผู้นั้นได้ นั่นก็หมายความว่า คนผู้นั้นได้มีอายุยั่งยืนเทียมเท่าจักรวาฬ เขาคือ มนุษย์ที่ได้กลายเป็นพระเจ้า เขาจะเป็นทั้ง มนุษย์ที่สมบูรณ์ และ พระเจ้าที่สมบูรณ์...นี่แหละคือ โลกของนักกลยุทธ์ และเป็น วิถีแห่งฟ้าของนักกลยุทธ์