จิตสำนึกแห่งทางเลือกในยุคทักษิณครองเมือง (25)
25. วิธีคิดที่ไม่เป็นทาสของเงินกับการกำราบพิษทักษิณ
"เจ้าซื่อต่อคนคด เจ้าทรยศต่อคนไทย"รวี โดมพระจันทร์ ,กวี 14 ตุลาฯ
เป็นไปได้หรือไม่ว่า ปัญหาที่เราพบภายใต้ ระบอบทักษิณ อยู่ทุกวันนี้ แท้จริงเกิดจาก ระบบวิธีคิด ที่มีปัญหา? เป็นไปได้หรือไม่ว่า ความยุ่งยากตลอดจนความไร้สมรรถนะในการแก้ไขปัญหาของคนไทยจำนวนไม่น้อย เกิดจาก ระบบวิธีคิด ที่ไม่เหมาะสม? เป็นไปได้หรือไม่ว่า วิธีการคิดที่ดีกว่าเดิม รวมทั้ง โลกทัศน์และชีวทัศน์ที่ดีกว่าเดิม จะช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ที่กำลังรุมเร้าสังคมนี้ โดยเฉพาะปัญหาที่เกี่ยวกับเรื่อง เงิน ให้ดีขึ้นกว่าเดิมได้
ในยุคที่มีความซับซ้อนและมีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรง เช่น ปัจจุบันนี้ ความจำเป็นของการมีมุมมอง และวิธีการคิดแบบใหม่ที่สร้างสรรค์กว่าเดิม และมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมเพื่อนำไปใช้แก้ไขปัญหา เงิน ในระดับชาติ ระดับชุมชนหรือแม้กระทั่งระดับครอบครัวและตนเอง จึงเป็นสิ่งที่สำคัญและเร่งด่วนยิ่งเพราะ "พิษทักษิณ" เกี่ยวกับเรื่องการหาเงิน และใช้เงินอย่างผิดหลักการ กำลังบ่อนทำลายเราในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นระดับชาติ ระดับชุมชน ระดับครอบครัว หรือแม้แต่ระดับปัจเจกก็ตาม
อะไรคือ ความจริงของเงิน อันเป็นสิ่งที่ครอบงำจิตใจของคนเป็นจำนวนมากอยู่ ไม่เว้นแม้แต่ผู้นำประเทศที่ร่ำรวยมหาศาลอยู่แล้ว?
มีอุปมาเปรียบเทียบที่มีชื่อเสียงมากอยู่เรื่องหนึ่งของ เพลโต เรื่อง "ถ้ำ" ซึ่งเพลโตเปรียบเทียบได้อย่างลุ่มลึกว่า มีชายคนหนึ่งถูกล่ามโซ่หันหน้าเข้าหาผนังถ้ำ จึงมองเห็นแต่ผนังถ้ำ โดยที่ปากถ้ำมีการจุดกองไฟขึ้น ยามเมื่อมีคนถือของเดินผ่านเข้ามาในถ้ำ คนที่ถูกล่ามโซ่หันหน้ากลับมามองไม่ได้ เขาจึงมองเห็นได้แค่ "เงา" ของคนกับของของที่เขาถือเข้ามาปรากฏบนผนังถ้ำเท่านั้น
ฉันใดก็ฉันนั้น ใช่หรือไม่ว่าใน ชีวิตจริง ของคนเราที่มองเห็นได้อย่างมากที่สุดก็คือ "เงาของความจริง" เท่านั้น? สิ่งที่คนเราหลงใหลปรารถนาอยากได้มาครอบครองเป็นเจ้าของอย่าง เงิน จึงเป็นสิ่งที่เราแสวงหามันโดยที่ยังไม่ได้เข้าถึงความจริงของมันเลย และแม้แต่ เงา ของมันที่คนเราแต่ละคนมองเห็นได้ ก็ยังตีความให้คุณค่าไม่เท่ากัน ซึ่งขึ้นอยู่กับ ระดับจิต ของ ตัวตน ที่คนคนนั้นได้พัฒนาไปถึงแล้ว จึงทำให้ "ตีความ" และให้ "ความหมาย" เกี่ยวกับ ความจริงและความเชื่อเรื่องเงิน แตกต่างกันไป
จึงมีความเป็นไปได้สูงว่า การมีปัญญาความรู้ที่สมบูรณ์ขึ้นเกี่ยวกับความจริงของเงิน จะทำให้คนผู้นั้น สามารถมีคุณธรรมเกี่ยวกับการหาเงิน และการใช้เงินได้
เพราะสำหรับผู้ที่มีระดับจิตที่พัฒนาสูงกว่าระดับเฉลี่ยของสังคมแล้ว ความรู้ย่อมสามารถกลายเป็นคุณธรรมได้ ถ้าหากไม่ใช่ความรู้ที่หลงผิด มัวเมาไปด้วยอวิชชาและอุปทาน เนื่องเพราะ ผู้ที่มีปัญญาความรู้อย่างสมบูรณ์ จะไม่มีวันประพฤติตนเป็นคนประเภท "เจ้าซื่อต่อคนคด เจ้าทรยศต่อคนไทย" เหมือนอย่างที่ผู้มีอำนาจกำลังกระทำอยู่เป็นอันขาด คนที่สามารถกระทำเช่นนี้ได้โดยไม่สะทกสะท้านย่อมแสดงว่า คนผู้นั้นมีปัญญาความรู้ไม่เพียงพออย่างไม่ต้องสงสัย
สังคมไทยจะเป็นเช่นไรหนอ หากปล่อยให้ผู้มีอำนาจที่เป็นทั้งนักจูงใจคน และเชี่ยวชาญทางการตลาด สามารถควบคุมการรับรู้ของประชาชน และหลอกลวงประชาชนไปได้เรื่อยๆ โดยยังคงทำผิดพลาดเกี่ยวกับเรื่องเงินซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างที่เป็นอยู่นี้?
การวิจารณ์ ระบอบทักษิณ แบบลวกๆ และมักง่ายตามสื่อต่างๆ จึงทำได้อย่างมากแค่ลดความน่าเชื่อถือของตัว "ผู้นำ" แห่งระบอบทักษิณเท่านั้น ยังไม่เพียงพอที่จะกำราบ "พิษทักษิณ" ลงได้ ตราบใดที่ยังไม่มีการวิพากษ์ที่มาจากกรอบความคิดใหม่ วิธีคิดใหม่และมุมมองใหม่จากระดับการพัฒนาทางจิตที่สูงกว่าระดับจิตของเหล่าผู้วิพากษ์ส่วนใหญ่ในปัจจุบัน
ในการจะกำราบ "พิษทักษิณ" เราจำเป็นจะต้องมี วิธีคิดที่ไม่เป็นทาสของเงิน วิธีคิดที่มองได้อย่างทะลุซึ้งว่า "การมีเงินยิ่งมากยิ่งดี" หาได้เป็นหนทางไปสู่ความสุขที่แท้จริงอีกต่อไป วิธีคิดที่ไม่เป็นทาสของเงิน คือ ก้าวแรกของการตื่นจากการมอมเมาประชาชน โดยทักษิโณมิกส์ของระบอบทักษิณ
ความจริงแล้ว เงิน โดยตัวของมันเองเป็นแค่ ส่วนหนึ่งของชีวิต เท่านั้น แต่คนทั่วไปมักเข้าใจเงินน้อยกว่าเข้าใจความเป็นจริงด้านอื่นของชีวิต คนส่วนใหญ่จึงแทบไม่เคยเพ่งพิจารณาเงินในเชิงวิปัสสนาเลย
ทั้งๆ ที่ "เงินคืออะไร?" สามารถเป็นปริศนาธรรมแบบเซน หรือสามารถเป็นหัวข้อวิปัสสนาเพื่อการปฏิบัติธรรมที่ยอดเยี่ยมที่สุดหัวข้อหนึ่งในยุคที่เศรษฐกิจฟองสบู่เป็นใหญ่อย่างในยุคปัจจุบัน
โปรดหยิบธนบัตรออกมาจากกระเป๋าสตางค์ของตัวเอง และวางตรงหน้า โดยนั่งยืดหลังตรง ผ่อนคลายช่วงไหล่ เจริญสติตามลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ แล้วเพ่งพิจารณา "เงิน" ที่อยู่ตรงหน้าด้วย "ตาปัญญา" ของตน ด้วยสมาธิอันแน่วแน่ จนกระทั่งเกิดความกระจ่างแจ้งแห่งดวงจิตผุดวาบขึ้นมาจากใจว่า...
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรานี้ไม่ใช่ "เงิน!" มันเป็นแค่วัตถุที่ใช้เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจของประเทศเราเท่านั้น โดยตัวมันเองมันเป็นแค่กระดาษชิ้นหนึ่ง เอามากินไม่ได้ เอามานุ่งห่มก็ไม่ได้ และอาจเอาไปซื้ออะไรก็ไม่ได้ ถ้านำมันไปใช้ในพื้นที่หลายๆ แห่งของโลก กระดาษชิ้นนี้จึงเป็นแค่ สิ่งสมมติ ว่าเป็น "เงิน" เท่านั้น
แล้วอะไรคือ เงิน เล่า?
เราจะเข้าถึงความจริงของเงินอย่างถ่องแท้ได้ เราจะต้องเข้าใจ ตัวตนของเงินที่เป็นวัตถุ และจะต้องเข้าใจความไม่มีตัวตนหรือ อนัตตาของเงิน ที่ไม่ใช่วัตถุไปพร้อมๆ กันด้วยอย่างบูรณาการ
กล่าวคือ
(1) เราจะต้องเข้าใจ เงิน ในฐานะที่เป็น กิจกรรมทางการเงินทั้งหมดที่เราจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องตลอดชีวิต เงินในมิตินี้ยังเป็นเงินในมิติทางวัตถุอยู่ ถ้าจำกัดตัวเองอยู่แค่มิตินี้ แล้วพยายามจะแก้ไขปัญหาการเงินเพียงแค่ในระดับวัตถุอย่างเดียว ก็เหมือนกับการขยับหมากบนกระดานโดยไม่เคยมอง เกมหมากล้อม ในภาพรวมจากมุมมองด้านบนเลย
(2) เราจะต้องเข้าใจเงิน ในแง่ของอารมณ์และจิตวิทยา ในระดับที่มองเห็นความเชื่อมโยงทางจิตใจ และอารมณ์ที่ประสานกิจกรรมทางการเงินต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันเข้าด้วยกัน เพื่อเพ่งพินิจและสำรวจ ความคิดและความรู้สึกของตัวเราเองที่มีต่อเงิน และเพื่อทำความเข้าใจ บุคลิกทางด้านการเงิน ของตัวเราเองว่าจะก่อปัญหา หรือหายนะให้กับพฤติกรรมทางการเงินของตัวเองหรือไม่ รวมทั้งเข้าใจให้ได้ว่า เงินมีความหมายอย่างไรต่อตัวเรา รวมทั้งเรายังมีความเชื่อผิดๆ อะไรในเรื่องเงินอยู่บ้าง เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คนเราทุกคนล้วนมีชีวิตที่ผูกโยงอยู่กับระบบความเชื่อเกี่ยวกับเงินอย่างเหนียวแน่นอยู่แล้วไม่มากก็น้อย
(3) เราจะต้องเข้าใจเงินในเชิงบริบททางวัฒนธรรม ด้วย เพื่อที่จะเห็นได้อย่างถ่องแท้ว่า เงินโดยตัวมันเอง มิได้มีความศักดิ์สิทธิ์ดุจพระเจ้าแต่อย่างใด เงินเป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาใช้ในสังคมในฐานะที่เป็น "มูลค่าสะสม" และ "ตัวกลางในการแลกเปลี่ยน" ที่ใช้ได้ในวงจำกัด ภายในวัฒนธรรมที่ผู้คนยอมรับคุณค่าร่วมกันเท่านั้น
(4) สุดท้าย เราจะต้องสามารถพิจารณาเงินอย่างวิปัสสนาอย่างปล่อยวางจากทุกสิ่งที่ตัวเคยคิดว่ารู้อยู่แล้วเกี่ยวกับเงินให้จงได้ เพื่อที่ตัวเราจะได้สามารถกลับมาเป็น "นาย" เหนือเงินได้อีกครั้ง และทำให้วิถีแห่งการเปลี่ยนแปลงตัวเองเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเชิงลึกภายในตัวเรา เพื่อการพัฒนาและยกระดับทางจิตวิญญาณสามารถดำเนินไปได้อย่างบูรณาการ และอย่างราบรื่น โดยที่เงินมิได้กลายเป็นตัวอุปสรรคกีดขวาง
ซึ่งการจะทำเช่นนั้นได้ เราจึงจำเป็นจะต้อง นิยามความหมายของเงินอย่างบูรณาการ เสียใหม่ว่า
เงินคือสิ่งที่คนเราเลือกที่จะเอาพลังชีวิตของเราไปแลกมา ซึ่งจากมุมมองเช่นนี้ เราก็จะสามารถตระหนักถึง "พิษทักษิณ" ได้ทันทีเลยว่า เขากำลังใช้ "เงินของพวกเรา" ซึ่งก็คืออนาคตแห่งชีวิตของพวกเรา และของลูกหลานของพวกเรา ไปในทางที่ไม่ซื่อ คิดคด และทรยศต่อความหวังของคนเกือบทั้งประเทศที่เคยฝากความหวัง และความไว้วางใจในตัวเขา