จิตสำนึกแห่งทางเลือกในยุคทักษิณครองเมือง (17)
17. บรรษัทอาณาจักรแห่งทุนนิยม
ปัจจุบัน บรรษัทขนาดใหญ่ กลายเป็น สถาบันที่มีอำนาจมากที่สุด ในโลกทุกวันนี้ไปแล้ว แต่แม้มันจะมีอิทธิพลมากขนาดไหนก็ตาม ความเป็นจริงก็คือ บรรษัทขนาดใหญ่นี้มันไม่ได้มีอยู่จริง มันเป็นเพียง สิ่งสมมติที่ถูกต้องตามกฎหมาย และ มันเป็นเพียงวิธีบริหารจัดการของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
บรรษัท เป็นเพียง กระบวนการในการจัดตั้งธุรกรรมต่างๆ อย่างหนึ่ง ซึ่งคล้ายกับ ลมพายุหมุน คือมันเป็นอะไรที่ดูดกลืนผู้คนดูดกลืนทรัพยากรของโลก โดยมุ่งหากำไร (และเก็งกำไร) เคลื่อนย้ายไปตามที่ต่างๆ โดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อใครหรือที่ใดเป็นพิเศษ ยกเว้นจะรับผิดชอบต่อตัวบรรษัทเองเท่านั้น แต่ถ้าเราดูที่ แกนใน ของบรรษัท เราจะพบว่า มันไม่มีอะไรอยู่ภายใน เหมือนกับแกนหลักของพายุหมุนที่เป็นเพียงกระบวนการการเคลื่อนไหวเท่านั้น มันไม่มีแก่นแกนที่แยกออกจากกระบวนการได้
โลกใบนี้ รวมทั้งสังคมไทยเราล้วนถูกครอบงำด้วยบรรษัทอาณาจักร ที่เหมือนลมพายุหมุนที่กวาดพัดไปทั่ว และมีชีวิตโดยตัวของมันเอง ทั้งๆ ที่ในตัวบรรษัทเองนั้น มันไม่ได้มีแก่นแกนอะไรอยู่ในนั้นเลย มันมีแต่ รูปแบบของการจัดองค์กรที่สะท้อนระดับจิต และระดับโลกทัศน์ของคนกลุ่มหนึ่ง (มีมสีส้ม) เท่านั้น ซึ่งยังไม่ใช่ระดับจิตและระดับโลกทัศน์ที่สูงสุดในระดับโลกียะด้วย
แต่บรรษัทขนาดใหญ่เหล่านี้กลับมีอำนาจอย่างล้นเหลือ จนกระทั่ง ปัจเจก เองก็ไม่สามารถควบคุมมันได้ การณ์กลับเป็นว่าบรรษัทเหล่านี้เป็นผู้สั่งการผู้คนต่างๆ โดยที่ผู้คนที่เป็นปัจเจกกลับควบคุมบรรษัทได้ยากมากราวกับมันมีชีวิตด้วยตัวของมันเอง
บรรษัทมีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับรัฐบาลมาตั้งแต่แรกแล้ว โดย รัฐบาลทำหน้าที่ดูแลบรรษัท ขณะที่บรรษัทก็ตอบแทนรัฐบาล โดยประชาชนทั่วไปถูกกีดกันออกไป นี่คือวิถีที่บรรษัทพัฒนาตนเอง และเติบใหญ่จนมีอำนาจมากมาย รวมทั้ง อำนาจทางการเมือง อย่างที่แลเห็นเป็นที่ประจักษ์ชัดในปัจจุบัน
เพราะ คนร่ำรวยที่เป็นเจ้าของบรรษัทขนาดใหญ่สามารถทำการ "ยึด" ประเทศหนึ่งๆ ได้โดยไม่ต้องใช้กำลังทหาร เพียงแค่ใช้ "เงิน" ซื้อสิ่งที่พวกเขาต้องการโดยผ่านกระบวนการเลือกตั้งอย่าง "ชอบธรรม" และ "ถูกกฎหมาย" ด้วย นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และได้เกิดขึ้นแล้ว เมื่อบรรษัทอาณาจักรสามารถ "ครอบงำ" ราชอาณาจักรหนึ่งๆ ได้โดยพฤตินัย
อิทธิพลที่ทรงพลังที่สุดของบรรษัทก็คือ มันสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีคิด วิธีการมองโลกของผู้คน ซึ่งรวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงศาสนา และจิตวิญญาณของผู้คนด้วย เพราะมันข้องเกี่ยวกับวิธีการเข้าใจตนเอง และเข้าใจโลกทั้งหมดของ ปัจเจก ซึ่ง แตกต่าง ไปจากระบบความเชื่อและโลกทัศน์ดั้งเดิมที่ผู้คนเคยยึดถือมาเป็นจารีต
ราชอาณาจักร กลายมาเป็น สินค้า ที่เรียกว่า ทรัพยากรและที่ดิน
มนุษย์ ถูกเปลี่ยนฐานะมาเป็นแค่ แรงงาน
วัฒนธรรม อันมีค่ามีความหมายทางจิตใจถูกลดทอนกลายเป็น ทรัพยากรสำหรับเงินทุน
ทุกสิ่งทุกอย่างถูกรับรู้ ถูกเข้าใจแต่เฉพาะมิติด้านเงินตราอย่างเดียวเท่านั้น
ในสายตาของบรรษัท คนจน ดำรงอยู่ในโลกนี้ในบรรษัทอาณาจักรนี้ ก็เพื่อที่จะถูกสูบกลืนเอาผลประโยชน์ โดยคนที่ร่ำรวยกว่าเพื่อให้มีเงินมากมายขึ้น ส่วน คนรวย ก็ดำรงอยู่ในโลกนี้ เพียง เพื่อฉกฉวยโภคทรัพย์และเพิ่มพูนจำนวนเงินกับอำนาจให้กับตนเองเท่านั้น
คนรวย ในโลกทัศน์แบบ บรรษัทนิยม จึงไม่มีทางเข้าถึง ความหมายที่แท้จริงของชีวิต ได้ เพราะเป้าหมายแห่งชีวิตของพวกเขา คิดได้แค่ ทำอย่างไรถึงจะสนองความพึงพอใจทางวัตถุ และความโลภที่ไร้ขีดจำกัดของตนเองเท่านั้น
จะว่าไปแล้ว การมองโลกแบบนี้หรือโลกทัศน์แบบนี้มันเป็นแค่ มายาภาพ หรือ ภาพลวงตา อย่างหนึ่งเท่านั้น วิธีการมองโลกแบบนี้ที่ "ผู้นำ" ของประเทศเรากำลังยัดเยียดโลกทัศน์เช่นนี้ให้แก่ผู้คนส่วนใหญ่ของประเทศ มันจะไม่นำไปสู่สิ่งใดทั้งสิ้น นอกจาก ความสับสนและความทุกข์ยากของชีวิต เท่านั้น
ภายใต้บรรษัทอาณาจักร เงินกลายเป็นพระเจ้าหรือสิ่งสูงสุด ขณะที่ บริโภคนิยมกลายเป็นสิ่งเสพติดของผู้คน โดยทำให้คนทั่วไปพึ่งพาตนเองไม่ได้ ไม่รู้แม้แต่ว่า น้ำและอาหารที่บริโภคกันทุกวันนั้นได้มาอย่างไร ไม่รู้แม้กระทั่งวิธีการดูแลตนเองในสภาพแวดล้อมตามท้องถิ่นของตนทำได้อย่างไร
คนทั่วไปถูกทำให้เชื่อว่า เราต้องมุ่งหน้าไปสู่อนาคตอยู่เสมอ เพราะพวกเราไม่เคยรู้สึกพอ ทั้งๆ ที่ชีวิตนี้แสนสั้นนัก เราควรพอใจกับความเป็นตัวเรา และเป็นตัวของตัวเองจะดีกว่า เราควรพอใจกับการใช้เงินเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น และเพื่อแสวงหาความหมายที่แท้จริงให้กับชีวิตจะดีกว่า ไม่ใช่มุ่งแต่จะสั่งสมความร่ำรวย โดยมีความร่ำรวยเป็นเป้าหมายโดยตัวของมันเอง เพราะนี่คือ หนทางที่นำไปสู่หายนะ หากคนทั้งโลกหลงผิดคิดเช่นนี้เหมือนกันหมด
มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกที่ ปัญญาญาณ ชีวิตและการมีจิตสำนึก จะต้องถูกบูรณาการเข้าด้วยกันกับวิวัฒนาการของจักรวาฬ และสรรพสิ่งที่ดำรงอยู่ในจักรวาฬ
เราต้องไม่ลืมว่า ชีวิตเป็นเรื่องของทางเลือก การที่พวกเราจะสนองตอบต่อ ทางเลือก ที่อยู่ตรงหน้าได้ดีเพียงไร และทำให้ศักยภาพแห่งชีวิตของเราปรากฏเป็นจริงได้มากน้อยเพียงไร จึงเป็นการทดสอบที่จะเปิดเผยให้เห็นว่า สติปัญญาของเรานั้นล้ำลึกเพียงไหนด้วย
การต่อต้าน การครอบงำของบรรษัทอาณาจักรที่มีต่อราชอาณาจักรในประเทศของเราขณะนี้ จึงกลายเป็นการต่อสู้เชิงจิตวิญญาณอย่างหนึ่งไปโดยปริยาย เพราะมันเป็นการต่อสู้ การปะทะกันทางโลกทัศน์ที่มีมิติเชิงจิตวิญญาณดำรงอยู่ เพราะลึกๆ แล้ว บรรษัทอาณาจักรแห่งทุนนิยมก็ทำหน้าที่ไม่ต่างไปจากศาสนาชนิดหนึ่ง เพราะมันปลูกฝังศรัทธาในผลกำไรให้แก่ผู้คน มันเผยแพร่ความเชื่อในบริโภคนิยมไปทุกที่ มันเปลี่ยนแปลงระบบความเชื่อระบบคุณค่าของผู้คนในท้องถิ่น เพื่อ "รื้อถอน" โครงสร้างของสังคมนั้นให้ "ยอมสยบ" อยู่ใต้อาณาจักรของตน กล่าวโดยความหมายนี้ "ผู้นำ" แห่งบรรษัทอาณาจักรของประเทศนี้ก็เป็นแค่ "ร่างทรง" ของ ศาสนาใหม่แห่งบริโภคนิยม ที่แฝงตัวเข้ามาในคราบของ นักการเมือง เท่านั้น