“สงครามประชาชน”ของระบอบทักษิณ: ทั้งหลอกลวงและไร้ความชอบธรรม
(บทความที่คนใส่เสื้อสีแดงควรอ่านเป็นอย่างยิ่ง)
หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน
27 ตุลาคม 2551
โดย รศ.ดร.ชวินทร์ ลีนะบรรจง--รศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย
คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
บัดนี้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า “ไพ่ใบสุดท้าย” ที่ทักษิณ ชินวัตรได้หงายออกมาเพื่อแพ้ในวันที่ 21 ตุลาคม 2551 นี้ก็คือ “สงครามประชาชน”เพื่อทักษิณ ที่มีองค์ประกอบอยู่ 3 ส่วนคือ
1.ชาวรากหญ้าและคนชั้นกลางในชนบท
ผู้คนเหล่านี้ นอกจากจะขาดข่าวสารที่รอบด้านแล้ว ยังถูก “เงิน” จากคนของระบอบทักษิณซื้อเอาไว้ได้ภายใต้ความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์ในการเมืองระดับท้องถิ่น แต่ก็ต้องยอมรับด้วยว่า พวกเขาเหล่านั้นก็ได้ถูกคนของระบอบทักษิณปลุกระดมให้ “ตื่นตัวทางการเมือง” ขึ้นมาในระดับหนึ่งด้วยเช่นกัน โดยที่พวกเขาไม่ได้ตระหนักเลยว่า “ประชาธิปไตย” ที่พวกเขาลุกขึ้นมาปกป้องนั้น ที่แท้ก็คือ ธนาธิปไตยหรือระบบเลือกตั้งแบบซื้อเสียง หาใช่ประชาธิปไตยตามความหมายที่แท้จริงและตามหลักการที่บริสุทธิ์ยุติธรรมแต่อย่างใดไม่
2.แนวร่วมของระบอบทักษิณ
ผู้คนเหล่านี้เป็นคนกลุ่มเล็กๆ ที่เป็นแนวร่วมกับระบอบทักษิณที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลความเชื่อทางการเมืองแบบ “ซ้ายตกขอบ” ที่พลัดตกลงไปในหลุมพรางของกับดักทางวาทกรรม “ประชาธิปไตย” (จอมปลอม) ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาหรือถูกหลอกนำมาใช้เพื่อให้มาเผชิญหน้ากับระบอบอำมาตยาธิปไตยและสถาบันกษัตริย์นั่นเอง คนเหล่านี้คือคนที่เข้าร่วมทางความคิดอย่างเอาการเอางานใน เว็บไซต์ฟ้าเดียวกัน ที่มีเนื้อหามุ่ง “ถอดรื้อ” ระบอบอำมาตยาธิปไตยและสถาบันกษัตริย์ในเชิงความคิด และในเชิงวาทกรรมอย่างโจ่งแจ้งที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยยังไม่รวมเอาเว็บไซต์อื่นๆ ในลักษณะเดียวกันที่มีอยู่มากมาย
ผู้คนที่ตกเป็นเหยื่อวาทกรรมของ เว็บไซต์ฟ้าเดียวกัน และได้เข้าร่วมในกิจกรรมของแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) และแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) อย่างเอาการเอางาน จนถึงขนาดขึ้นเวทีอภิปรายที่ท้องสนามหลวงและพูดจาจาบจ้วงหมิ่นเบื้องสูงจนถูกออกหมายจับในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ต่างก็มีจุดจบในสภาพที่ไม่แตกต่างกัน เช่น ในกรณีของ นางสาวดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล หรือ ดา ตอร์ปิโดที่ถูกจองจำในขณะนี้ หรือ นายสุชาติ นาคบางไทร ที่อยู่ในระหว่างหลบหนีการจับกุม เป็นต้น
3.สมุนของระบอบทักษิณ
ผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหวปกป้องระบอบทักษิณเป็นเพราะตนเองมี “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ที่อาจเป็นเงิน หรืออำนาจจากระบอบทักษิณ ได้แก่ ส.ส.พรรคพลังประชาชน อดีตส.ส.พรรคไทยรักไทย หัวคะแนน และนักวิชาการและ/หรือข้าราชการที่ขายตัวขายจิตวิญญาณเสรีไป
องค์ประกอบทั้งสามประการข้างต้นจึงเป็นตัวขับเคลื่อน “สงครามประชาชน” เพื่อทักษิณ ชินวัตร ที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของยุทธศาสตร์ของทักษิณ ชินวัตรและคนในระบอบทักษิณก่อนหน้านั้น
ยุทธศาสตร์ของทักษิณ ชินวัตรและคนในระบอบทักษิณก่อน 21 ต.ค. 51 นั้นอาจกล่าวได้ว่ามุ่งไปที่การแบ่งแยกและก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองเพื่อให้ทักษิณ ชินวัตรและครอบครัวสามารถได้ประโยชน์จากการพ้นผิดในคดีความต่างๆ ที่มีอยู่ในศาล และสามารถนำไปใช้อ้างกับทางการอังกฤษเพื่อพิจารณาคำขอลี้ภัยทางการเมืองได้ การดำรงไว้ซึ่งการปกครองโดยตัวแทนไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นโดยรัฐบาลที่นำโดยสมัคร สุนทรเวช จนมาถึง สมชาย วงศ์สวัสดิ์ในปัจจุบันจึงเป็นกลยุทธ์ที่ได้ดำเนินการมาโดยตลอดเพื่อสนองตอบต่อยุทธศาสตร์ข้างต้น
อย่างไรก็ตาม หลังคำพิพากษาตัดสินคดีที่ดินรัชดาภิเษก โดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเมื่อ 21 ต.ค. 51 ที่ได้ ตัดสินจำคุก ทักษิณ ชินวัตร เป็นเวลา 2 ปีโดยไม่รอลงอาญาเนื่องจากกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เป็นหน่วยงานของรัฐในขณะที่นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นคือ ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้มีอำนาจกำกับดูแลผ่านรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและกองทุนฟื้นฟูฯ เป็นหน่วยงานที่อาศัยเงินสนับสนุนจากรัฐ การเข้าไปประมูลที่ดินและเป็นคู่สัญญากับรัฐจึงเป็นความผิดตาม กฎหมาย ป.ป.ช.มาตรา 100 ตามที่กล่าวโทษ
ภูมิศาสตร์ทางการเมืองของประเทศไทยจึงได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างที่ไม่มีวันจะหวนกลับไปเหมือนเดิม ได้อีก กล่าวคือ
ความชอบธรรมทางการเมืองของทักษิณ ชินวัตรและระบอบทักษิณได้หมดไปอย่างสิ้นเชิงโดยคำพิพากษานี้
คดีที่ดินรัชดาภิเษกเป็นคดีที่ถูกจำหน่ายออกจากสารบบการพิจารณาของศาลในวาระแรกเนื่องจากอัยการไม่สามารถนำตัวจำเลยมาปรากฏตัวต่อหน้าศาลได้ เพราะทักษิณ ชินวัตรไม่ยอมกลับเข้าประเทศเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองตามกระบวนการยุติธรรม แต่หลังจากที่พรรคพลังประชาชนที่เป็นตัวแทนของทักษิณ ชินวัตรได้รับเลือกตั้งเป็นเสียงข้างมากและสามารถจัดตั้งรัฐบาลผสมที่มีพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำเมื่อต้นปี 2551 ที่ผ่านมา ทักษิณ ชินวัตรจึงได้กลับมากราบแผ่นดินเกิดอีกครั้ง และนำตัวเองเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในเวลาต่อมาเพราะคาดว่าตนเองจะสามารถหลุดจากคดีเหมือนกรณีที่เคยถูกกล่าวหาโดย ป.ป.ช.ในช่วงปี 2544 ในข้อหาว่าซุกหุ้นได้เช่นกัน
ทักษิณ ชินวัตรได้กล่าวในวันแรกๆ ของการกลับเมืองไทยในช่วงต้นปี 2551ได้ความว่า ตัวเขาเชื่อมั่นในความยุติธรรมที่ศาลจะมีให้ การเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของทักษิณ ชินวัตรจึงเป็นไปเหมือนดังเช่นที่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นๆ ถูกกล่าวหา มีการเบิกความของพยานทั้งสองฝ่ายเพื่อค้นหาความจริง จนกระทั่งเมื่อมีเหตุการณ์ติดสินบนภายในบริเวณศาลกรณีเงินในถุงขนม 2 ล้านบาทเกิดขึ้นจนทำให้ศาลสั่งลงโทษจำคุกทนายที่ว่าความให้ทักษิณ ชินวัตรและผู้ที่เกี่ยวข้องรวม 3 คนในเบื้องต้น ทำให้ ทักษิณ ชินวัตรตระหนักได้ว่าคำพิพากษาในคดีที่ตนเองกำลังต่อสู้อยู่นั้นจะมีผลลัพธ์ออกมาเป็นเช่นใด การหลบหนีไปจากประเทศไทยและจากกระบวนการยุติธรรมไทยอีกครั้งหนึ่งของทักษิณ ชินวัตรหลังจากนั้นจึงขัดแย้งกับคำพูดของตนเองที่เคยบอกว่าเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม และเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงการหลอกลวงและไร้ความชอบธรรมของตัวเขาและของระบอบทักษิณ
มีผู้ใกล้ชิดกับทักษิณ ชินวัตรได้กล่าวถึงทักษิณ ชินวัตรในวันที่กลับมากราบแผ่นดินเกิดที่สนามบินอย่างเอิกเกริกในช่วงต้นปี 2551ว่า ทักษิณเป็นคนเหนือดวง แต่มาวันนี้ความจริงได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ทักษิณ มิได้อยู่เหนือกฎแห่งกรรม และมิอาจรอดพ้นจากกฎแห่งกรรมไปได้
หากทักษิณ ชินวัตรคิดจะอุทธรณ์ตามช่องทางที่มีอยู่น้อยนิด จงตรึกตรองดูก่อนให้ถี่ถ้วนเถิดว่า คุณได้เคยปรามาสกล่าวให้ร้ายกระบวนการยุติธรรมไทยในระหว่างที่คุณหลบหนีการฟังคำพิพากษาว่าไม่ยุติธรรม แล้วคุณยังจะกลับมาขอความยุติธรรมจากกระบวนการยุติธรรมไทยที่คุณเคยกล่าวหาว่าไม่ยุติธรรมสำหรับคุณได้อย่างไรหากศาลรับอุทธรณ์คุณแล้วคุณจะกลับเข้ามาฟังคำพิพากษาอุทธรณ์อีกหรือไม่ หรือจะเอาแต่ได้เหมือนเช่นที่คุณเคยทำมาตลอดโดยให้ทนายมายื่นอุทธรณ์ และรอฟังผลอยู่ต่างประเทศ หากอุทธรณ์ฟังไม่ขึ้นก็ไม่กลับอย่างนั้นหรือ คุณทักษิณคุณนี่ช่างสมกับเป็นชายชาติตำรวจผู้กล้าจริงๆ!!
การสมานฉันท์ที่ดีที่สุดคือการเชื่อถือในความจริง เผชิญหน้ากับความจริงและเปิดใจยอมรับความจริง และศาลก็ได้เปิดเผยความจริงดังกล่าวออกมาแล้ว
หากคนในระบอบทักษิณจะต่อสู้เพื่อทักษิณ ชินวัตรโดยสิ่งที่พยายามเรียกว่า “สงครามประชาชน” ขอได้โปรดทบทวนดูจากข้อเท็จจริงต่างๆ อีกครั้งว่า พวกคุณจะสู้เพื่อคนที่ทั้งหลอกลวงและไร้ความชอบธรรมคนนี้ต่อไปอีกได้หรือ
หากพวกคุณไม่ใช่คนในระบอบทักษิณก็จงอย่าสับสนระหว่างการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยกับการต่อสู้เพื่อทักษิณ ชินวัตร เพราะทักษิณ ชินวัตรและระบอบทักษิณไม่เคยมีประชาธิปไตยอย่างแท้จริงแต่อย่างใดเลย
การดำรงอยู่ของรัฐบาลสมชายที่เป็นตัวแทนทักษิณ ชินวัตรและระบอบทักษิณเป็นตัวอย่างอันดีที่ชี้ให้เห็นว่าเขาและระบอบของเขามีประชาธิปไตยที่อาศัยเพียงการเลือกตั้งซื้อเสียงเป็นเครื่องมือเข้ามาสู่อำนาจเท่านั้น มิใช่เป็นเป้าหมายที่หวังเอาไว้ว่าจะเป็นประชาธิปไตยแต่อย่างใด การอ้างความชอบธรรมจากการเลือกตั้งจึงเป็นปกติวิสัยของการหลอกลวงและไร้ความชอบธรรมของโมฆชนเหล่านี้ที่เห็นได้ตลอดเวลา
สมชาย วงศ์สวัสดิ์เป็น ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อในเขตเลือกตั้งเดียวกับ ยงยุทธ ติยะไพรัช ที่ได้ถูกศาลพิพากษาว่าซื้อเสียงและเป็นเหตุให้ถูกยื่นต่อศาลในเวลาต่อมาว่าพรรคที่ตนเองสังกัดอยู่คือพรรคพลังประชาชนจะต้องถูกยุบพรรคเพราะไม่ได้เคารพกติกาที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ตามมาตรา 237 แสดงให้เห็นถึงที่มาของเขาก็มีปัญหา
สมชาย วงศ์สวัสดิ์เป็นอดีตผู้พิพากษาที่ควรรู้กฎหมายเป็นอย่างดี แต่เมื่อถูกชี้มูลโดย ป.ป.ช.ว่ามีความผิดจากกรรมในอดีตสมัยที่เป็นปลัดกระทรวงยุติธรรม ซึ่งมีโทษเพียง 2 สถานที่จะต้องชดใช้ในอนาคตคือ ไล่ออก หรือปลดออก สมชายก็ยังไม่รู้ผิดชอบชั่วดีกลับอ้างว่าตนเองต้องปฏิบัติหน้าที่ราชการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป
สมชาย วงศ์สวัสดิ์เป็นรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลเดียวกับที่ได้เคยประพฤติผิดรัฐธรรมนูญตามมาตรา 190 เรื่องการทำสนธิสัญญากับต่างประเทศไปแล้ว ซึ่งมีผลทำให้ไทยต้องเสียอธิปไตยเหนือดินแดนปราสาทพระวิหาร ทั้งๆ ที่รัฐมนตรีคนอื่นๆ ในรอบ 45 ปีที่ผ่านมาจะชั่วดีถี่ห่างสักเพียงใดก็ไม่เคยกระทำเรื่องเสียอธิปไตยของชาติได้มากเท่านี้ไม่ว่าพวกรัฐมนตรีเหล่านั้นจะมาจากเลือกตั้งหรือแต่งตั้งมาก็ตาม
สมชาย วงศ์สวัสดิ์กำลังจะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อให้มีการตั้ง ส.ส.ร.3 ทำการยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ทั้งๆ ที่ฝ่ายค้านและวุฒิสภาไม่เอาด้วย ในขณะเดียวกันก็มีการผลักดันให้มีการบรรจุญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับหมอเหวงโดยคนในพรรพลังประชาชน อยากรู้นักว่าจะร้อนรนรีบแก้ไขรัฐธรรมนูญไปเพื่ออะไร เพราะประโยชน์จะตกอยู่กับประชาชนได้อย่างไร และจะยอมให้ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียซึ่งก็คือนักการเมืองเข้ามาแก้ไขกติกาตามรัฐธรรมนูญที่พวกเขาต้องเคารพและปฏิบัติตามได้อย่างไร
รัฐบาลสมชายยังเป็นรัฐบาลที่ถูกคนกลางที่เป็นอิสระ เช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนรายงานว่าเป็นต้นเหตุของการเสียชีวิตและบาดเจ็บของประชาชนจำนวนมากเมื่อ 7 ต.ค. 51 อย่าหลอกลวงซื้อเวลาเพื่ออยู่ในตำแหน่งต่อไปอีกเลยว่าผลการสอบสวนของคนที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาจะมีความชอบธรรมและยุติธรรม หากจำเลยจะสอบความผิดของจำเลยเสียเอง
รัฐบาลสมชายไม่สามารถหาคนดีมาบริหารงานเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญวิกฤตอยู่ในขณะนี้ได้ ดังนั้นอย่าได้หลอกลวงว่าปัญหาเศรษฐกิจไม่มีความเกี่ยวข้องกับปัญหาทางการเมือง หรือพยายามบอกว่าหากการเมืองนิ่งเศรษฐกิจก็จะนิ่งตาม เพราะฉะนั้นต้องให้รัฐบาลนี้บริหารประเทศต่อไปเพื่อจะได้แก้ปัญหาเศรษฐกิจได้
หากคุณเป็นคนเสื้อแดง คุณคิดว่าจะปกป้องคนอย่างทักษิณ ชินวัตรไปเพื่ออะไร? จงคิดทบทวนให้ดีเถิดว่าจะสู้เพื่อทักษิณไปทำไม? ลองถามตัวเองอย่างจริงจังดูเถิดว่าตนเองกำลังทำ (ก) เพื่อเงิน หรือ (ข) เพื่ออุดมการณ์ประชาธิปไตยในฐานะสุจริตชน หรือ (ค) เพื่ออนาคตของทักษิณ ชินวัตรคนที่ทั้งหลอกลวงและไร้ความชอบธรรมที่ไม่มีวันหวนกลับมายังแผ่นดินเกิดในฐานะสุจริตชนได้อีกแล้ว
หมายเหตุ : เป็นความเห็นของผู้เขียน ไม่ผูกพันกับหน่วยงานที่สังกัด