บทพิสูจน์ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ตอนที่ 3
โดย ชวินทร์ ลีนะบรรจง และ สุวินัย ภรณวลัย
15 สิงหาคม 2555
การกระทำนั้นดังกว่าคำพูด
แต่การไม่ทำบางครั้งมันดังและชัดเจนกว่าทำเสียอีก
ยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีไม่เคยแถลงอย่างเป็นทางการว่าจะอำนวยความยุติธรรมกับพี่ชายตนเองอย่างไร เห็นมีก็แต่หลบๆ เลี่ยงๆ พูดจากำกวมอย่างไร้สาระมาโดยตลอด
การได้วีซ่าและเดินทางเข้าประเทศสหรัฐฯ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จึงเป็นหลักฐานที่สะท้อนให้เห็นถึงแนวนโยบายเกี่ยวกับทักษิณพี่ชายตนเองว่าจะเป็นไปในทิศทางใด
เรื่องนี้มิใช่เรื่องส่วนตัวแทนหากแต่เป็นเรื่องส่วนรวมเกี่ยวข้องกับความเป็นรัฐประเทศที่มีอธิปไตยของทั้งสหรัฐฯ และไทย เหตุก็เพราะทักษิณเป็นนักโทษหนีการจำคุก หรือ fugitive ในคดีที่สิ้นสุดแล้ว หาใช่เป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหาในกระบวนการยุติธรรมที่ยังมิได้สิ้นสุดแต่อย่างใดไม่
ยิ่งลักษณ์ควรไปบอกหลานโอ๊คของตนเองให้เข้าใจด้วยว่าพ่อของเขากระทำผิดเพราะทุจริตต่อหน้าที่ เป็นความผิดตามกฎหมายไทย ผู้ที่ไต่สวนตามหน้าที่ก็คือ ป.ป.ช. ผู้ที่ฟ้องร้องตามหน้าที่ก็คืออัยการ ขณะที่ผู้ที่ตัดสินชี้ขาดตามหน้าที่ก็คือศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมือง ทุกองค์ประกอบล้วนมีมาก่อนการปฏิวัติเมื่อ 19 ก.ย. 49 ทั้งสิ้น ดังนั้นที่พ่อเขาโดนตัดสินจำคุกแต่แม่ไม่โดนก็เพราะแม่ไม่ได้เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐเช่นพ่อที่เป็นนายกฯ ต่างหาก จะได้ไม่ออกมาสร้างเรื่องแบบมาม่า “ต้ม” คนเสื้อแดงจนถึงปัจจุบัน
การที่สหรัฐฯ ออกวีซ่าให้อาชญากรนักโทษเช่นทักษิณเข้าประเทศตนเองทั้งที่กฎหมายของตนเองห้ามเอาไว้ก็เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจอยู่แล้ว แต่ที่น่ารังเกียจมากไปกว่านั้นก็คือ ทำไมทางการไทยจึงนิ่งเฉยไม่ร้องขอให้ทางฝ่ายสหรัฐฯ จับกุมตัวส่งกลับมาให้ไทย
สหรัฐฯ อาจอ้างว่าการให้วีซ่าเข้าประเทศเป็นอำนาจอธิปไตยของสหรัฐฯ แต่ก็อย่าลืมว่าทักษิณมิได้เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าจนจำเค้าหน้าเดิมไม่ได้ ดังนั้นไม่ว่าจะเข้ามาในชื่อใดหรือในฐานะของพลเมืองชาติใดก็ยังเป็นทักษิณนักโทษหนีการจำคุกตามกฎหมายไทยเช่นเดิม หาได้เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงอันนี้ไปได้ไม่
รัฐบาลสหรัฐฯ จะสามารถอนุญาตให้ศัตรูหมายเลขหนึ่งบิน ลาดินเข้าสหรัฐฯ โดยไม่จับกุม โดยอ้างว่าเป็นพลเมืองชาติอื่นหรืออ้างว่าได้เปลี่ยนชื่อไปแล้วได้หรือ
การที่สหรัฐฯ อนุญาตให้ผู้ที่ทางการไทยต้องการตัวไปจำคุกเข้าประเทศจึงเท่ากับว่าเป็นการปฏิเสธอำนาจอธิปไตยของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางศาลและนิติบัญญัติอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรม
บทพิสูจน์เกี่ยวกับยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกฯ ในเรื่องนี้ก็ชัดเจนว่า ไม่ยอมรักษากฎหมาย หากแต่เอาความสัมพันธ์และประโยชน์ส่วนตนให้อยู่เหนือประโยชน์ส่วนรวม
เห็นพูดนักพูดหนาอย่างคล่องแคล่ว คำหนึ่งก็บูรณาการ สองคำก็บูรณาการ แต่เมื่อนักโทษหนีการจำคุกเข้าประเทศที่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน สาธารณชนทั้งสองประเทศต่างก็รับรู้โดยทั่วไปว่า วันไหนจะเดินทางไปไหนบ้าง อยู่กี่วัน เหตุใดหน่วยงานไทยจึงไม่มีการดำเนินการขอตัวให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนเช่นเดียวกับที่รัฐคู่สัญญาเคยร้องขอ ไม่ว่าจะเป็นกรณีนายวิกเตอร์ บูท หรือ นายฮัมบาลี
เรื่องนี้อย่าบอกว่าเป็นความรับผิดชอบของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น กระทรวงการต่างประเทศ อัยการ หรือแม้แต่ตำรวจ เพราะไม่ว่าหน่วยงานใดก็ไม่มีสิทธิมาเลี่ยงกฎหมายโดยปัดความรับผิดชอบโยนกันไปมา หรือทำตัวเป็นกฎหมายวินิจฉัยเสียเองว่าควรจะดำเนินการขอให้จับกุมหรือไม่
รัฐบาลโดยนายกฯ ยิ่งลักษณ์ต่างหากที่มีหน้าที่ต้องเข้ามาจัดการเรื่องนี้โดยแสดงท่าทีหรือออกเป็นนโยบายให้หน่วยงานทั้งหมดรับไปปฏิบัติ การนิ่งเฉยเสียเองเช่นนี้ก็เท่ากับรู้เห็นเป็นใจ สิ่งนี้จึงเป็นหลักฐานพิสูจน์ชัดเจนว่ายิ่งลักษณ์มีแนวนโยบายที่แท้จริงเกี่ยวกับพี่ชายตนเองอย่างไร
การที่รัฐบาลไทยไม่รักษากฎหมายของประเทศตนเองเช่นนี้แล้ว จึงเป็นเรื่องที่น่าละอายเป็นอย่างยิ่ง ประเทศไทยในสายตาของชาวโลกจึงกลายเป็น banana republic อย่างช่วยไม่ได้เพราะรัฐบาลไทยเองจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
สิ่งนี้จึงเป็นความเสียหายกับประเทศไทยอย่างชัดเจน ใครจะมาลงทุนเพราะแม้ศาลไทยตัดสินให้ชนะ แต่รัฐบาลไทยก็อาจละเว้นไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ตัวอย่างก็เห็นอย่างทนโท่ นักลงทุนจึงเรียกร้องหาแต่ระบบอนุญาโตตุลาการแทนระบบศาลไทย
ประเทศไทยเคยผ่านจุดนี้มาตั้งแต่การทำสนธิสัญญาเบาว์ริงที่ทำให้เกิดสิทธิสภาพนอกอาณาเขตที่ยกเว้นมิให้อธิปไตยของไทยใช้กับคนในสัญญา เนื่องจากเขาอ้างว่าระบบยุติธรรมของเรายังป่าเถื่อนไม่ได้มาตรฐาน ต้องทนอยู่เกือบร้อยปีจากรัชกาลที่ 4 จนถึงรัชกาลที่ 6 จึงจะสามารถยกเลิกได้ ต้องยอมสูญเสียอะไรไปบ้างเพื่อแลกกับอำนาจอธิปไตยดังกล่าวกลับคืนมา
ยิ่งลักษณ์จะรู้หรือไม่ว่าเมื่อประธานาธิบดีเกาหลีไปเยือนหมู่เกาะที่เป็นข้อพิพาทเรื่องดินแดนกับญี่ปุ่น ส.ส.ญี่ปุ่นที่เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลก็แสดงท่าทีตอบโต้โดยประกาศจะไปเยือนศาลเจ้ายาสุคุนิที่เป็นที่สถิตดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิตสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่รวมถึงผู้ที่เกาหลีและจีนประณามว่าเป็นอาชญากรสงครามโดยทันที
พี่ชายประธานาธิบดีเกาหลีถูกกล่าวหาเรื่องทุจริต ตัวน้องชายยังต้องออกมาขอโทษกับประชาชนทั้งๆ ที่ตัวเองมิได้มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
การมีท่าทีหรือแนวนโยบายที่ชัดเจนจึงเป็นเครื่องแสดงความตั้งใจให้สาธารณชนแลเห็นว่าฝ่ายการเมืองตั้งใจทำอะไรอยู่
การไม่มีท่าทีหรือไม่ยอมเอาตัวพี่ชายตนเองกลับมาลงโทษของยิ่งลักษณ์ ไม่เอ่ยปากเรื่องนี้แม้แต่คำเดียว จึงนำมาซึ่งความเสื่อมเสียกับอธิปไตยของประเทศ เป็นหลักฐานที่ดีโดยชัดแจ้งว่าจะเอาพี่ชายตนเองเป็นใหญ่อยู่เหนือกฎหมาย ส่วนประชาชนคนอื่นๆ ในประเทศนั้นเป็นรองเพราะอยู่ใต้กฎหมาย
ที่กล่าวว่า “ดิฉันอาศัยคุณสมบัติของตัวเองในฐานะผู้นำประเทศ ฉันต้องการการสนับสนุนจากพี่ชาย แต่ดิฉันได้ส่งสารที่ชัดเจนให้ทุกคนทราบว่าดิฉันเป็นนายกรัฐมนตรี” ก็ bull-shit โดยแท้