นรก” ของชนชั้นกลางล่างกำลังมาเยือน (28)
โดย ชวินทร์ ลีนะบรรจง และ สุวินัย ภรณวลัย
17 กรกฎาคม 2556
เณรคำก็จบสิ้นแล้วเช่นทักษิณ ไม่มีแผ่นดินจะอยู่
แต่ผลร้ายที่ก่อยังไม่สาหัสเท่ากับที่ทักษิณทำไว้กับแผ่นดินไทย
กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์โดยอธิบดีธาริต ได้ดำเนินการอย่างเข้มแข็งฉับไวกับคดีนายวิรพล สุขผล หรืออดีตหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก ในหลายข้อหาภายหลังจากที่ปรากฏหลักฐานความผิดทั้งทางโลกและทางธรรม
ธาริตได้เปิดเผยว่าจะได้มีการออกหมายจับ สั่งอายัดทรัพย์ทั้งที่เป็นเงินฝากในบัญชีธนาคาร ที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ รถยนต์ เพิกถอนพาสปอร์ตและร้องขอต่อทางการสหรัฐฯ ให้เพิกถอนวีซ่าเพื่อผลักดันให้นายวิรผลกลับมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมในประเทศไทย
หากจะถามว่าความเสียหายที่นายวิรพลได้ทำเอาไว้กับสังคมไทยคืออะไร คำตอบน่าจะอยู่ที่การเข้าสู่ “ผ้าเหลือง” และอาศัยการสร้างความเชื่อว่าตนเองสามารถหาทางลัดเข้าสู่สวรรค์ได้โดยไม่ต้องสร้างบุญ การหลอกลวงทรัพย์สินเงินทองของผู้คนที่หลงเชื่อจึงเป็นสิ่งที่ติดตามมาที่อาจอยู่ในระดับร้อยล้านบาท
แต่เทียบไม่ได้เลยกับความเสียหายที่ทำไว้กับ “สถาบัน” พุทธศาสนาให้คนหลงเชื่อในทางที่ผิดเพี้ยนไปจากคำสอนของบรมศาสดา
กรณีนายตำรวจที่ชื่อคำรณวิทย์ก็เช่นกัน การถูกร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินให้ตรวจสอบจริยธรรมกรณีให้ทักษิณ ชินวัตรผู้ต้องโทษหนีคดีอาญาแผ่นดินประดับยศให้จึงเป็นการส่อแสดงให้เห็นถึงการไม่เคารพกระบวนการยุติธรรมของคนเป็นผู้รักษากฎหมายโดยตรง
การไปพบโดยจงใจกับผู้ต้องหาต้องโทษที่มีหมายจับแม้จะในต่างประเทศในขณะที่ตนเองเป็นนายตำรวจใหญ่ผู้มีหน้าที่รักษากฎหมาย จะอ้างเหตุผลใดก็รับฟังได้ลำบากเมื่อทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชนเสียแล้ว
เมื่อไม่เคารพกฎหมายก็เท่ากับว่าไม่เคารพวิชาชีพของตนเอง คำรณวิทย์จึงไม่ต้องดิ้นรนไปถามแม่แต่อย่างใด เพราะผู้ที่ชี้ถูกผิดเรื่องจริยธรรมในกรณีนี้คือผู้ตรวจการแผ่นดินที่ได้วินิจฉัยไปแล้ว มิเช่นนั้นผู้ต้องหาอื่นก็จะอ้างได้เหมือนกันว่าถามแม่แล้วว่าปล้น ข่มขืนและฆ่าเจ้าทรัพย์ไม่ผิดจริงไหม?
หากจะถามเช่นกันว่าคำรณวิทย์ทำความเสียหายอะไรไว้กับสังคมไทย คำตอบน่าจะอยู่ที่การเข้าสู่ “สีกากี” เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีหน้าที่รักษากฎหมายแต่กระทำในทางตรงกันข้าม เป็นการทำลาย “สถาบัน” ตำรวจ ที่มีหน้าที่รักษากฏหมาย
แต่ความเสียหายที่ทั้งวิรพลและคำรณวิทย์ได้ทำเอาไว้กับสังคมยังเทียบไม่ได้กับความเสียหายที่ทักษิณและรัฐบาลของเขาทำไว้กับประเทศไทย
การที่สังคมใดสังคมหนึ่งขาดซึ่ง “สถาบัน” หมายความว่าสังคมนั้นจะขาดซึ่งโครงสร้างที่ประชาชนของประเทศนั้นเองและคนนอกประเทศจะใช้ยึดถือ
ตัวอย่างของการขาดการบังคับใช้ซึ่งกฎหมาย ขาดซึ่งหลักนิติรัฐและนิติธรรมก็หมายถึงว่าประเทศนั้นได้กลายเป็น “บ้านป่า เมืองเถื่อน” กฎอย่างเดียวที่มีอยู่ก็คือ อำนาจมาจาก “กำปั้น” ที่มีขนาดใหญ่หรือจำนวนมากกว่าผู้อื่น จะเป็นผู้ออกกฎและเปลี่ยนแปลงกฎนั้นตามอำเภอใจนั่นเอง
สังคมที่เจริญแล้วจึงเรียนรู้ว่า มนุษย์ได้ประโยชน์จากการอยู่ร่วมกัน แต่ต้องมีและเคารพกติกาที่เขาเรียกทั่วๆ ไปว่ากฎหมาย มิเช่นนั้นก็ต้องใช้ขนาดของ “กำปั้น” เป็นเครื่องตัดสินแทนความถูกต้องซึ่งไม่แตกต่างจากพฤติกรรมของฝูงสัตว์สักเท่าใด ผู้ด้อยโอกาสก็จะกลายเป็นเช่นคนชั้นกลางล่างทั้งหลายเพราะเป็นผู้ที่มีขนาด “กำปั้น” เล็กกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับคนชั้นอื่นๆ
ประเทศที่ขาด “สถาบัน” จึงไม่สามารถเป็นประเทศที่เจริญแล้วได้อย่างแน่นอนเพราะขาดซึ่ง “ขื่อ แป” ไว้ค้ำจุนตัวบ้านเอาไว้ นี่จึงเป็นความสำคัญของการดำรงไว้ซึ่ง “สถาบัน” และเป็นสิ่งที่ทักษิณ ชินวัตรพยายามจะทำลายเพื่อมิให้ตนเองต้องปฏิบัติตาม “ขื่อ แป” ที่มีอยู่อันเป็นผลประโยชน์ส่วนตนโดยแท้
นี่จึงเป็นปมขัดแย้งระหว่างทักษิณ ชินวัตรกับประเทศไทยโดยแท้จริงในปัจจุบัน หาใช่ระหว่าง ไพร่-อำมาตย์ อันเป็นวาทกรรมประดิษฐ์ หากแต่เป็นการไม่ยอมปฏิบัติและหลีกหนีในความผิดของตนเองที่มีต่อกติกาของสังคม เป็นการเอาตนเองไปอยู่เหนือกติกาส่วนรวม หากพบว่าตนเองทำผิดก็แก้ไขกฎหมายเสียใหม่
การอาศัยเสียงข้างมากหรือใช้ขนาดหรือจำนวนของ “กำปั้น” ในการตัดสินทุกเรื่องราวในสังคมจึงไม่ต่างจากพฤติกรรมของฝูงสัตว์หรือหมู่โจรที่จ่าฝูงหรือหัวหน้าโจรที่แข็งแรงมีพวกมากที่สุดเท่านั้นที่จะได้กิน/ปี้ก่อนตัวอื่นๆ ไม่มีการใช้เหตุผลเยี่ยงคนแต่ประการใด ประชาธิปไตยของทักษิณจึงกลายเป็น “เครื่องมือ” ในการเข้าสู่อำนาจมากกว่าที่จะเป็น “จุดหมาย” ที่จะไปให้ถึง
จึงไม่ใช่เรื่องประหลาดที่ทักษิณใช้แนวนโยบายประชานิยมที่โอ้อวดสรรพคุณของนโยบายเกินจริงเพียงเพื่อหลอกลวงให้ผู้คนหลงเชื่อว่าตนเองจะพบกับการกินดีอยู่ดีมีความสะดวกสบายที่รัฐบาลประชานิยมหามาให้โดยไม่ต้องออกแรงดังเช่นที่เณรคำหรือนายวิรพลหลอกลวงสาวกของตนเอง
จำนำข้าวในราคาที่เกินจริงก็ดี ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท/วันก็ดี รถไฟ “ความเลวสูง” ก็ดี ล้วนเป็นการหลอกลวงสร้างฝันให้ชาวนา กรรมกรผู้ใช้แรงงาน หรือคนอื่นๆ ซึ่งล้วนเป็นผู้มีสิทธิออกเสียงแต่ไม่เคยเสียภาษีได้เสพเพื่อแลกกับคะแนนเลือกตั้งเพื่อให้ตัวแทนของเขาสามารถเข้าสู่อำนาจและมาแก้ไขกฎหมายล้างผิดให้กับตนเองในขณะที่ละเลยทอดทิ้งคนในภาคส่วนอื่นๆ เช่น ผู้ที่เสียภาษีทำนุบำรุงผู้อื่นในสังคมที่มีประมาณ 3 ล้านคนทั่วประเทศ หรือ ผู้ปลูกพืชเกษตรชนิดอื่นๆ เช่น ยาง มัน
ความล้มเหลวของนโยบายจำนำข้าวจึงเป็นที่มาของการ “เน่า” ทั้งแผ่นดิน “สถาบัน” ที่เกี่ยวข้องกับข้าวทั้งระบบตั้งแต่ ชาวนาผู้ปลูก พ่อค้าคนกลาง โรงสี พ่อค้าส่งออก จนถึงผู้บริโภคต้อง “เน่า” ตามนโยบายที่ ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ จากการให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์กลายเป็นผู้ค้าข้าวรายใหญ่เสียเอง ทำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อนจนต้องโกหกไม่กล้าบอกความจริงว่าไม่มีผู้ซื้อจากต่างประเทศแต่อย่างใด ซื้อแพงแต่ขายได้ถูกสร้างผลขาดทุนมหาศาลจนไม่สามารถขายได้และต้องเก็บข้าวเน่าในสต๊อกจนส่งกลิ่นเหม็นโฉ่อยู่ในขณะนี้
หากข้าวเป็นการเพาะปลูกพืชที่อยู่คู่ประเทศไทยมาช้านานแล้วตามคำของยิ่งลักษณ์ พี่คุณและตัวคุณก็กำลังทำลายข้าวทั้งระบบด้วยนโยบายจำนำข้าวตามแนวประชานิยมอย่างสิ้นคิดเช่นนี้ เหม็น. . .เน่า. . .ทั้งคนคิดคนทำไปทั้งแผ่นดินก็ว่าได้ เพราะคนทั้งในและนอกประเทศดูจะขาดความเชื่อมั่นในคำพูดคำโตของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไปเสียแล้ว
หากคนชั้นกลางล่างยังไม่ตระหนักว่าตนเองและครอบครัวยังด้อยซึ่งโอกาสเนื่องจากมีขนาด “กำปั้น” เล็กกว่าคนชั้นอื่นในสังคม การปล่อยให้ทักษิณอาศัยการทำลาย “สถาบัน” โดยไม่เคารพกฎหมายเพื่อให้ตนเองพ้นผิดอันเป็นประโยชน์ของเขาเองโดยแท้ก็หมายความว่าสังคมที่พวกคุณอยู่ด้วยจะกลายเป็นฝูงสัตว์ไปในไม่ช้า กติกาหรือกฎหมายเท่านั้นที่จะเป็นประโยชน์ที่แท้จริงจากการอาศัยอยู่ในสังคมของคนที่ด้อยโอกาสให้ทัดเทียมกับผู้อื่น
คนชั้นกลางล่างและไทยเฉยทั้งหลายจึงควรรู้ว่าหาก “สถาบัน” ถูกทำลายพวกคุณจะพึ่งพากฎหมายได้อย่างไรแถม “กำปั้น” ที่มีก็เล็กกว่า หากไม่ตระหนัก “นรก” ของคนชั้นกลางล่างกำลังมาเยือนในไม่ช้าหากเขาทำสำเร็จ