ภูมิปัญญาของ K
(โดย สุวินัย ภรณวลัย)
"ชีวิตคือการทำจิตใจให้สดใส ชีวิตคือสิ่งที่เราเรียกว่าศาสนาชีวิตคือความละเอียดอ่อนที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในจิตใจ การศึกษาจะไม่มีความหมายเลย หากมันไม่ช่วยให้เธอเข้าใจอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ของชีวิต ซึ่งมีทั้งความละเอียดอ่อน ความสวยงาม ความโศกซึ้ง ความปีติ"
K กล่าวกับเยาวชนกลุ่มหนึ่งที่ดั้นด้นมาขอภูมิปัญญาตะวันออกจากเขาผู้เป็นปราชญ์แห่งยุคที่ชาวโลกยอมรับ
"ต่อไปเธอจะได้รับปริญญา มีอาชีพที่ดี และมีคำหน้าชื่ออีกมากมาย แต่มันจะมีความหมายอะไรหากในกระแสชีวิตของเธอ ในจิตใจของเธอยังคงขุ่นมัว อ่อนแอ ขลาดเขลา เพราะฉะนั้นในขณะที่เธอยังอยู่ในวัยหนุ่มวัยสาวเธอจะไม่แสวงหาความหมายของชีวิตหรือ... และมีแต่การศึกษาเท่านั้นที่จะปลูกฝังเธอให้มีปัญญาที่จะแสวงหาคำตอบต่างๆ ได้
"ปัญญาคืออะไร ปัญญาคือความสามารถที่จะคิดด้วยความรู้สึกอิสระโดยปราศจากความกลัว ปราศจากสูตรหรือกฎเกณฑ์พิธีกรรม เพื่อเธอจะได้พบสิ่งที่เป็นความจริง เป็นสัจจะด้วยตนเอง
ความมีอิสระไม่ได้หมายความว่าเราจะทำอะไรก็ได้ตามที่อยากทำแต่หมายถึงอิสระที่จะเข้าใจกระแสของชีวิตอันสมบูรณ์แท้จริงในฐานะที่เธอเป็นมนุษย์ เธอย่อมสามารถค้นพบได้ด้วยตนเองในสิ่งซึ่งเป็นสัจจะ ความจริงการไม่เลียนแบบและการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองคือการศึกษา
"การยอมตามและคล้อยตามผู้อื่นเป็นของง่าย แต่มันไม่ใช่ชีวิตหากการกระทำของเธอถูกครอบงำด้วยความกลัว
"การมีชีวิตคือการพบด้วยตัวเองในความจริง และเธอจะทำเช่นนี้ได้เมื่อเธอรู้สึกอิสระ คือเมื่อเธอมีความคิดสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่องภายใน หรือเมื่อเธอมีความละเอียดอ่อน รู้จักสังเกต รู้จักเรียนรู้เท่านั้นที่เธอจะพบความจริง พบพระเจ้า พบความรัก
"ดังนั้นหน้าที่ของการศึกษาที่แท้จริงก็คือการทำลายความกลัวทั้งภายในใจและภายนอกที่บั่นทอนทำลายความคิดของมนุษย์ ความสัมพันธ์ของมนุษย์ และความรักของมนุษย์
"ชีวิตโดยตัวของมันเองจึงเป็นครู เมื่อใดที่ชีวิตกลายเป็นครูสำหรับตัวเธอ ตัวเธอก็จะอยู่ในภาวะของการเรียนรู้อย่างไม่หยุดยั้ง
"ในการเรียนรู้จะต้องใส่ใจ และการใส่ใจจะเกิดขึ้นแก่เธอเมื่อเธอให้จิตใจอย่างลึกซึ้งกับบางสิ่ง มันเป็นภาวะที่เธอรักที่จะทำซึ่งเป็นภาวะที่ปราศจากความทะเยอทะยาน
"จงอย่าลืมว่าในวินาทีที่เธอต้องการจะเป็นอะไรบางอย่างนั้นความรู้สึกอิสระก็จะหายไป การต้องการเป็นในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเองจะทำให้เราสูญเสียอิสระแก่นแท้ของการศึกษา จึงหมายถึงการเอื้ออำนวยให้ตัวเราไม่ไปลอกเลียบแบบผู้อื่น แต่พยายามให้เราเป็นตัวของตัวเองตลอดเวลาซึ่งเป็นสิ่งที่ยากที่สุด
"ชีวิตเป็นความซับซ้อน ปัญญาจะเกิดขึ้นได้เมื่อเธอทำลายอิทธิพลแห่งความคิดต่างๆ ซึ่งล้อมรอบและทำร้ายตัวเธออยู่
"ปัญญาเป็นจิตใจซึ่งไม่มีความเชื่อ เพราะความเชื่อเป็นข้อสรุปอย่างหนึ่ง จิตใจที่มีปัญญาเป็นจิตใจที่สนใจในการแสวงหารักการเรียนรู้และใฝ่ศึกษาอยู่เสมอ
"ปัญญาไม่ใช่ความรู้ แม้เธออ่านหนังสือได้หมดทั้งโลกก็ไม่อาจทำให้เธอเกิดปัญญาได้เสมอไป เพราะปัญญาจะเกิดขึ้นเมื่อเธอเข้าใจกระแสของจิตใจทั้งหมดอันเป็นภาวะที่ละเอียดอ่อนลึกซึ้งและไม่มีขอบเขต จิตใจของเธอเป็นแก่นแท้แห่งความเป็นมนุษย์เมื่อเธอเข้าใจมัน เธอก็ไม่จำเป็นต้องศึกษาจากหนังสือแม้แต่เล่มเดียว
"ความสามารถเข้าใจตัวเองจะเกิดขึ้นเมื่อเธอใส่ใจกับโลกกับคน กับสิ่งของ และกับความคิดที่อยู่รอบๆ ตัวเธอ มันหมายถึงการที่เธอได้สัมผัสกับความรักที่แท้จริง
"การมีโอกาสได้รู้จักความคิดใหม่ๆ รู้จักสิ่งที่ไม่คุ้นเคยเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง และการพบเห็นสิ่งที่สวยงามก็เป็นความดีงามอย่างยิ่งแต่เธอก็ต้องรู้จักสังเกตสิ่งที่ไม่สวยงามในชีวิตด้วยเช่นกัน พูดง่ายๆก็คือเธอต้องตื่นตัวเสมอในการต้อนรับทุกสิ่ง
"หากเธอฟังเพื่อจะค้นพบ จิตใจของเธอจะกว้างขวางว่างเปล่าและรู้สึกอิสระ เธอจะไม่ผูกพันอยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใด จิตใจของเธอจะเข้มคมชัดมีชีวิตชีวา ใฝ่หาอยากรู้ และจะสามารถค้นพบสิ่งพิเศษได้
"แล้วเธอจะสามารถสัมผัสบางสิ่งบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่าคำพูด การสัมผัสกับบางสิ่งที่ลึกซึ้งกว่าภาษาพูดนั้นเป็นความสำคัญยิ่งเพราะเธอจะได้ถามตัวเองว่าชีวิตของคนเรานั้นแท้จริงแล้วต้องการอะไร
"ความสุขไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อเธอแสวงหา และนี่เป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ ความสุขนั้นเป็นสิ่งที่น่าแปลก มันจะเกิดขึ้นแก่เธอเมื่อเธอไม่แสวงหา เมื่อเธอไม่ต้องลงแรงเพื่อให้เกิดความสุข แต่ความสุขจะเกิดขึ้นอย่างลึกลับมันจะเกิดขึ้นจากความบริสุทธิ์และจากความงดงามของชีวิต"
ภูมิปัญญาของ K หรือ กฤษณะมูรตินั้น มีความสำคัญเหลือเกินสำหรับการมีชีวิตอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วย สิ่งที่ไม่ใช่ศาสนาเช่นทุกวันนี้
สิ่งที่ไม่ใช่ศาสนา
"การจะรู้ว่าการกระทำเช่นใดจึงเป็นศาสนาที่แท้จริงได้นั้นจะทำได้ง่ายขึ้น หากเธอสามารถเข้าใจได้ว่ามีอะไรบ้างที่ไม่ใช่ศาสนา"
K กล่าวกับเยาวชนกลุ่มหนึ่งที่ดั้นด้นมาขอความรู้จากเขา
"พวกเธอได้ถูกบอกเล่าครั้งแล้วครั้งเล่าว่าศาสนานั้นหมายถึงความเชื่อในพระพุทธเจ้าหรือพระผู้เป็นเจ้าและอื่นๆ อีกหลายอย่าง แต่จะไม่มีใครเลยที่จะถามเธอให้ได้คิดว่า สิ่งที่ไม่ใช่ศาสนานั้นคืออะไรบ้าง แต่เดี๋ยวนี้พวกเรากำลังจะศึกษาเรื่องนี้ค้นคว้าเรื่องนี้ด้วยตัวเราเอง
"ในการฟังไม่ว่าฟังใครจงอย่ายอมรับสิ่งที่เขาพูดง่ายๆ แต่พยายามฟังให้เห็นความจริง หากเธอสามารถพบว่าสิ่งที่ไม่ใช่ศาสนาคืออะไรแล้ว เมื่อนั้นจะไม่มีนักบวชหรือหนังสือใดๆ มาหลอกลวงเธอได้ตลอดชีวิต
"การศึกษาที่แท้นั้นคือการเรียนรู้วิธีคิดไม่ใช่สนใจแต่เรื่องที่จะคิด หากเธอรู้วิธีการคิด หากเธอมีศักยภาพนี้จริงๆ เธอจะเป็นมนุษย์อิสระ เธอจะรู้สึกเสรีจากลัทธิความเชื่อต่างๆ ไสยศาสตร์ต่างๆ พิธีกรรมต่างๆ และเมื่อนั้นเองที่เธอจะสามารถค้นพบว่าศาสนาคืออะไร
"พิธีกรรมไม่ใช่ศาสนาแน่นอน เพราะว่าในการกระทำพิธีกรรมต่างๆ เธอเพียงแต่ทำซ้ำในสูตรเก่าๆ ซึ่งถ่ายทอดมาถึงเธอหากเธอได้ทำพิธีกรรมต่างๆ โดยไม่รู้ถึงสาระของมันเลย พ่อของเธอ ปู่ของเธอได้ทำอย่างนั้น ดังนั้นเธอก็ทำตาม และหากเธอไม่ทำพวกเขาก็จะตำหนิติเตียนเธอ นี่ย่อมไม่ใช่ศาสนามิใช่หรือ
"การบูชารูปปั้นแกะสลักในวัดก็มิใช่ศาสนา รูปปั้นอาจจะเป็นสัญลักษณ์แต่มันก็เป็นเพียงแค่รูปปั้น มันไม่ใช่สิ่งที่แท้ มันเป็นตัวแทนของความจริงเท่านั้น แต่ก็มีผู้คนที่ทะเลาะเบาะแว้งต่อสู้เข่นฆ่ากันเพื่อสัญลักษณ์เหล่านั้น ทั้งๆ ที่พระเจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่เลย พระเจ้าจะไม่อยู่ในสัญลักษณ์ใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นการแสดงความคารวะบูชาต่อสัญลักษณ์ต่างๆ หรือรูปปั้นต่างๆ จึงไม่ใช่ศาสนา
"ความเชื่อเป็นศาสนาหรือไม่ ถ้าหากความเชื่อนั้นก่อให้เกิดความแตกแยก ความแบ่งแยก การทำลาย ความเชื่อนั้นก็ไม่ใช่ศาสนา ชาวคริสเตียนมีความเชื่ออย่างหนึ่ง ชาวฮินดูมีความเชื่ออีกอย่างหนึ่ง ชาวมุสลิมเชื่ออีกอย่างหนึ่ง และชาวพุทธก็เชื่ออีกอย่างหนึ่ง จะเห็นได้ว่าความเชื่อเป็นตัวแบ่งแยกมนุษย์ออกจากกัน แม้แต่พวกที่เชื่ออย่างเดียวกันก็ยังมีความแตกแยกข้างใน ความเชื่อจึงไม่ใช่ศาสนาอย่างเห็นได้ชัดเจน
"ถ้าเช่นนั้นศาสนาคืออะไร หากเธอเช็ดกระจกให้สะอาด ซึ่งหมายความว่า หากเธอเลิกกระทำพิธีกรรมต่างๆ ยกเลิกความเชื่อต่างๆ ยกเลิกที่จะคิดตามหรือเชื่อฟังคุรุ เมื่อนั้นจิตใจของเธอก็จะเหมือนกระจกหน้าต่างที่ใสสะอาด เธอสามารถจะเห็นสิ่งต่างๆได้อย่างชัดเจน
"เพราะเมื่อจิตใจของเธอสะอาดจากรูปปั้น จากพิธีกรรม จากความเชื่อ จากสัญลักษณ์ จากภาษาพูด จากมนตรา จากความซ้ำซาก และจากความกลัว เธอก็จะเห็นความจริงซึ่งอยู่เหนือกาลเวลาและไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งเธออาจจะเรียกว่าพระเจ้าก็ได้
"แต่การที่เธอจะเข้าถึงภาวะเช่นนี้ เธอจะต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง มีความอุตสาหะอดทนอย่างยอดเยี่ยม และสิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับผู้ที่มุ่งจะพบศาสนาที่แท้ด้วยตัวของเขาเอง และแสวงหาตลอดเวลาจนถึงจุดหมายปลายทาง มีแต่คนประเภทนี้เท่านั้นที่จะรู้จักศาสนาที่แท้ได้ แต่คนอื่นจะเป็นพวกที่จดจำถ้อยคำของคนอื่นมาพูด
"ศาสนาคือการรู้จักตนเองอันเป็นสิ่งที่ไม่มีที่สิ้นสุดเหมือนกับการเข้าไปสู่มหาสมุทรอันล้ำลึก ไม่สามารถหยั่งได้ และไม่มีชายฝั่ง เมื่อใดก็ตามที่เธอสามารถมองดูตนเองโดยปราศจากการตำหนิเหยียดหยามในสิ่งที่เธอเห็น ปราศจากการเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น เธอเพียงสังเกตว่าเธอเป็นอย่างไรแล้วดำเนินชีวิตไปอย่างนั้นเธอก็จะพบว่าเธอสามารถค้นพบตนเองได้อีกอย่างลึกซึ้ง
"หากเธอมีความเต็มอิ่มอยู่ในใจ การที่เธอจะได้รับการยอมรับ มีชื่อเสียงหรือไม่ ก็จะไม่ใช่สิ่งสำคัญเลย ความเต็มอิ่มภายในหมายถึงความกล้าหาญที่จะอยู่ตามลำพังและไม่ผูกพันอยู่กับความคิดใดๆ ไม่ผูกพันแม้กับภาวะที่เรียกว่าความคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง
"เธอจงอย่ายอมให้ความเกลียดชังปลูกฝังรากของมันลงในจิตใจของเธอ เธอจงรู้ไว้ด้วยเถอะว่า จิตใจของเธอเปรียบเหมือนพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์ ถ้ามีโอกาสปัญหาจะเกิดขึ้นงอกงามได้ดังวัชพืช และเป็นการยากที่จะขจัดมันออกไป ทางที่ดีที่สุดคือการไม่ยอมให้ปัญหาใดๆ มีโอกาสมากพอที่จะฝังรากลงไปได้ มันก็จะไม่มีโอกาสเติบโต และจะแห้งเหี่ยวสลายไปในที่สุด
"เธอเคยสังเกตแสงแดดอ่อนโยนส่องประกายสวยงามบนผิวน้ำในตอนเช้าตรู่บ้างไหม ผิวน้ำที่พลิกพลิ้วเคลื่อนไหว ดาวรุ่งที่ยังส่องสว่างสดใสอยู่เหนือยอดไม้ และเป็นดาวดวงเดียวซึ่งแจ่มใสอยู่กลางท้องฟ้าในขณะนั้น หรือว่าเธอหมกมุ่นกับการเรียน การงานจนลืมสังเกตและสัมผัสกับความงามอันอ่อนโยนของโลกนี้ โลกของพวกเราทุกคน เธอจะรักโลกนี้ได้ตลอดเวลาก็ต่อเมื่อเธอต้องรู้สึกว่า โลกนี้เป็นของเราทุกคน เธอจะรักมันได้ก็ต่อเมื่อเธอเข้าถึงความเป็นอิสระภายใน และนี่แหละคือความหมายของศาสนา"