วิถีของชามาน
โดย สุวินัย ภรณวลัย
ตอนที่ 1
ดอนฮวน กับ คาร์ลอส
ในสมัยที่ คาร์ลอส คาสตาเนด้า กำลังศึกษาศาสตร์เร้นลับจากอาจารย์ชาวอินเดียนแดงของเขาที่ชื่อ ดอนฮวน ในปี ค.ศ.1960 อยู่นั้น มีประสบการณ์หลายอย่างที่น่าสนใจมาก จากบทสนทนาระหว่างครูกับศิษย์ในโอกาสต่างๆ
"คนทั่วๆ ไป เกือบจะไม่ทราบเอาเลยว่า เขาอาจจะเลิกละสิ่งหนึ่ง สิ่งใดในชีวิตขณะใดก็ได้ เหมือนอย่างที่ผมเคยดื่มของมึนเมาสมัยเมื่อผมยังหนุ่ม แต่แล้ววันหนึ่งผมก็เลิกมันเฉยๆ" ดอนฮวนบอก
"อาจารย์คิดว่า คนเราจะหยุดดื่มเหล้าหรือเลิกสูบบุหรี่ได้ง่ายๆ อย่างงั้นหรือครับ" คาร์ลอสถามด้วยความสงสัย
"แน่นอน การดื่มเหล้าหรือการสูบบุหรี่ไม่มีความหมายอะไรเลย ไม่มีความหมายจริงๆ ถ้าหากเราคิดจะเลิกมัน"
ขณะนั้น น้ำที่เดือดอยู่ในหม้อต้มกาแฟทำให้เกิดเสียงดังคลั่กๆ
"ฟังเสียงนั่นสิคาร์ลอส" ดอนฮวนอุทานออกมา ดวงตาของเขาส่องประกาย
"น้ำเดือดนั่นเห็นด้วยกับผม"
คำสอนของดอนฮวนเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือว่า มนุษย์เราสามารถได้รับคำเห็นพ้องจากทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเขาได้เสมอ
*****
วันหนึ่ง คาร์ลอสได้ปรึกษากับดอนฮวนเกี่ยวกับเรื่องราวของเพื่อนคนหนึ่งของเขา ที่กำลังมีปัญหาเกี่ยวกับลูกชายวัยเก้าขวบของเขา เด็กคนนี้ขาดสมาธิในการเรียน มีความประพฤติรุนแรงชอบทำลายข้าวของ และมักจะหนีออกจากบ้าน ในขณะที่คาร์ลอสกำลังจะเล่าถึงความประพฤติอันเลวร้ายของเด็กชายคนนั้นต่อไปอีก อาจารย์ดอนฮวนกลับพูดขัดขึ้นมาว่า
"คาร์ลอสคุณไม่จำเป็นที่จะมานินทาเด็กที่น่าสงสารคนนั้นอีกทั้งคุณและผมไม่จำเป็นที่จะมาตัดสินการกระทำของเด็กคนนั้นในสายตาของเราว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้"
"เพื่อนของผมควรจะทำอย่างไรดีอาจารย์"
"สิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่เพื่อนคุณได้ทำลงไปคือ ไปบีบบังคับให้เด็กเห็นด้วยกับเขา"
"หมายความว่าอย่างไรครับ"
"หมายความว่า เมื่อเด็กไม่ประพฤติตัวในลักษณะที่พ่อแม่ต้องการ เขาก็ไม่ควรเฆี่ยนตีหรือทำให้เด็กหวาดกลัวขึ้นมา"
"แล้วเราจะสอนลูกของเราได้อย่างไรล่ะครับ ถ้าหากเราไม่เข้มงวดกับเด็ก"
"เพื่อนของคุณควรจะให้คนอื่นเฆี่ยนเด็กแทนตัวเขา"
"เขาไม่ยอมให้ใครแตะต้องลูกชายของเขาหรอกครับ"
"เพื่อนของคุณไม่ใช่นักรบ ถ้าเขาเป็นนักรบ เขาจะรู้ว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่มนุษย์ทำลงไปก็คือ จัดการกับผู้อื่นอย่างทื่อๆ"
"แล้วนักรบทำอย่างไรครับ"
"นักรบกระทำสิ่งต่างๆ อย่างมียุทธวิธี"
"ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีแหละครับอาจารย์"
"ผมหมายความว่า ถ้าเพื่อนของคุณเป็นนักรบ เขาก็จะช่วยให้ลูกชายของเขาหยุดโลก หรือเปลี่ยนแนวคิดที่เด็กมีต่อโลกเสียใหม่"
"แล้วเพื่อนผมจะทำได้อย่างไรล่ะครับ"
"เขาจำเป็นต้องมีพลังส่วนตัว และเป็นพลังที่เร้นลับด้วย"
"แต่เขาไม่ได้เป็นอะไร หรือมีอะไรเป็นพิเศษกว่าคนธรรมดาเลยนี่ครับ"
"ถ้าอย่างนั้นเขาต้องใช้เครื่องมือธรรมดาๆ นี่เอง มาช่วยทำให้ลูกชายของเขาเปลี่ยนแนวคิดที่แกมีต่อโลกเสียใหม่ ถ้าผมเป็นเพื่อนคุณนะครับ ผมจะเริ่มด้วยการไปว่าจ้างคนอีกคนหนึ่งมาตีเจ้าหนูนั่น ผมจะไปที่แหล่งมั่วสุมของพวกจรจัด แล้วจ้างชายที่หน้าตาน่าเกลียดที่สุดเท่าที่ผมจะหาได้มาคนหนึ่ง"
"มาทำให้เด็กกลัวหรือครับ"
"ไม่เพียงมาทำให้เด็กกลัวเท่านั้นหรอกครับ เจ้าหนูน้อยคนนั้นจะต้องถูกทำให้หยุดทันที แต่การที่พ่อของแกเฆี่ยนตีแกจะไม่ทำให้เกิดผลเช่นนั้นเป็นอันขาด เพราะถ้าหากคุณหยุดเพื่อนมนุษย์ คุณจะต้องอยู่ภายนอกวงที่จะมาบีบพวกเขาเสมอ หากทำเช่นนี้ได้คุณจะกลายเป็นผู้กำกับที่รู้ว่าจะบีบอย่างไร"
"แล้วเพื่อนผมควรจะทำอย่างไรกับลูกชายของเขาต่อครับ"
"บอกให้เขาไปที่ย่านของพวกจรจัด หาชายจรจัดที่หน้าตาน่าเกลียดที่สุดมาให้ได้คนหนึ่ง ทางที่ดีควรเลือกเอาคนที่หนุ่มหน่อยที่ยังมีเรี่ยวแรงเหลืออยู่บ้าง หลังจากที่ชายจรจัดคนนั้นทำให้เด็กตกใจมากแล้ว เพื่อนของคุณต้องทำอะไรสักอย่างหนึ่งเพื่อปลอบให้เด็กมีความมั่นใจขึ้นมาเหมือนเดิม ถ้าเพื่อนของคุณทำอย่างนี้สักสามสี่ครั้ง ผมรับรองว่าเด็กจะรู้สึกต่อทุกสิ่งทุกอย่างในลักษณะที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง เด็กจะเปลี่ยนแปลงทัศนะเดิมๆ ที่แกเคยมีต่อโลก"
"ถ้าหากความตกใจทำให้เด็กเสียไปเลยล่ะครับ"
"ความตกใจไม่เคยทำอันตรายใคร สิ่งที่มาทำอันตรายจิตวิญญาณของคนเราคือการยอมให้ผู้อื่นมาเกาะแน่นอยู่บนหลังคุณไม่ยอมลงแล้วคอยเฆี่ยนตีบงการคุณให้ทำโน่นทำนี่ ไม่ทำสิ่งโน้นสิ่งนี้ต่างหาก"
"..."
"เมื่อเด็กระงับสติอารมณ์ได้แล้วคุณต้องแนะให้เพื่อนของคุณทำอีกสิ่งหนึ่งเป็นเรื่องสุดท้าย นั่นคือเขาต้องพาลูกชายของเขาไปที่โรงพยาบาลไปดูศพของเด็ก ให้ลูกชายของเขาดูเด็กที่ตายนั้นถ้าเป็นไปได้ให้แกเอามือข้างซ้ายแตะที่ตัวศพตรงส่วนไหนก็ได้นอกจากบริเวณท้องน้อย เมื่อเด็กทำเช่นนั้นแล้วแกจะเปลี่ยนแปลงใหม่หมดโลกจะไม่เหมือนเดิมสำหรับแกอีกต่อไป"
คำสอนของดอนฮวนเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือว่า สิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่มนุษย์เราทำลงไป คือจัดการกับผู้คนอย่างทื่อๆ ไม่มียุทธวิธี แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นลูกของตัวเองก็ตาม โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับเด็กๆ สมัยนี้ใช่หรือไม่ว่า ตัวพ่อแม่ของเด็กมีส่วนทำร้ายเด็ก ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม
ดอนฮวนเคยกล่าวไว้ว่า หากคนเราต้องการเข้าถึง "การเห็น" คนเราจะต้อง "หยุดโลก" ให้ได้เสียก่อน การหยุดโลกจึงเป็นการแสดงออกอย่างเหมาะเจาะถึงสภาวะของความรู้สึกทั่วตัวพร้อม ทั้งความจริงในชีวิตประจำวันจะถูกทำให้เปลี่ยนแปลงไป เพราะกระแสของการแปลความซึ่งโดยปกติแล้วจะไหลไปเรื่อยๆ ได้ถูกทำให้หยุดลง โดยสภาพแวดล้อมชุดใหม่ที่แตกต่างออกไปจากกระแสของการแปลความแบบเก่า
ฉะนั้น กลวิธีต่างๆ ที่ดอนฮวนได้ถ่ายทอดให้แก่คาร์ลอสผู้เป็นศิษย์นั้น ที่แท้ก็คือกลวิธีในการหยุดโลกนั่นเอง เมื่อ "หยุดโลก" ได้แล้ว คนเราถึงจะสามารถ "เห็น" อย่าง "ผู้ตื่น" ได้
ตอนที่ 2
อย่าคิดว่าตนเองมีความสำคัญกว่าสิ่งอื่น
ครั้งหนึ่ง ดอนฮวนได้พาคาร์ลอสผู้เป็นศิษย์ออกไปท่องทะเลทรายด้วยกัน ในระหว่างการเดินทาง คาร์ลอสควบคุมอารมณ์ที่หงุดหงิดง่ายของตัวเขาไม่ได้ ดอนฮวนได้บอกกับคาร์ลอสว่า
"เมื่อกี้คุณฉุนเฉียวมาก แต่คุณรู้มั้ยว่าโลกที่อยู่รอบๆ ตัวของเรานี้เป็นสิ่งที่ลึกลับมหัศจรรย์มาก มันจะไม่ยอมเผยตัวออกมาง่ายๆหรอก ตราบใดที่คุณยังรู้สึกว่าตัวคุณเองเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดบนโลกใบนี้ คุณจะไม่มีวันรู้สึกซาบซึ้งต่อโลกที่อยู่รอบๆ ตัวคุณได้เลยคุณจะเป็นเหมือนม้าที่มีม่านบังตา สิ่งทั้งหมดที่คุณเห็นก็คือตัวของคุณเอง ผู้แยกตัวเองออกจากทุกสิ่งทุกอย่างเท่านั้น"
"..."
ดอนฮวนสำรวจดูผู้เป็นศิษย์อยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล่าวอีกว่า
"ผมจะพูดกับเพื่อนตัวเล็กๆ ของผมที่อยู่ที่นี่" ดอนฮวนชี้ไปที่พืชต้นเล็กๆ ก่อนที่เขาจะคุกเข่าลงเบื้องหน้าต้นไม้เล็กๆ ต้นนั้นแล้วใช้สองมือของเขาโอบประคองพร้อมกับพูดกับมันพักใหญ่แล้วลุกขึ้น
"คาร์ลอสมันไม่สำคัญหรอกครับว่าคุณจะพูดกับต้นไม้เรื่องอะไร คุณอาจคิดคำต่างๆ ขึ้นมาเองก็ได้ แต่ที่สำคัญคือความรู้สึกว่าคุณชอบมัน และคุณปฎิบัติตัวต่อมันเหมือนกับคนที่เท่าเทียมกัน"
"..."
"เพราะฉะนั้นคุณจะต้องเริ่มรู้สึกใหม่ว่า พืชกับคนเรามีความเท่าเทียมกัน ไม่ใช่พืชหรือตัวเราฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีความสำคัญกว่า มาสิรีบมาพูดกับต้นไม้เล็กๆ ต้นนี้ แล้วบอกกับมันว่า คุณไม่มีความรู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญอีกแล้ว"
แต่คาร์ลอสทำได้แค่คุกเข่าลงเบื้องหน้าพืชต้นนั้น โดยยังไม่สามารถบังคับตัวเองให้พูดกับมันได้ เขารู้สึกขำตัวเองจึงหัวเราะออกมา แต่อารมณ์หงุดหงิดในหัวใจไม่มีอีกแล้ว
ดอนฮวนตบไหล่คาร์ลอสแล้วบอกว่า ดีแล้วที่เขาสามารถควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น
"คาร์ลอสนับแต่วันนี้เป็นต้นไป คุณจงหัดพูดกับพืชต้นเล็กๆ เหล่านั้น ถ้าคุณต้องการเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องสมุนไพร คุณต้องพูดกับพวกมัน จนกระทั่งคุณสูญเสียความรู้สึกที่ว่าตัวเองมีความสำคัญ คุณจงพูดกับพวกมันจนกระทั่งคุณอาจทำได้ต่อหน้าคนอื่น... ไปที่เนินเขาลูกโน้นแล้วฝึกฝนคนเดียวต่อสิครับ"
"ผมจะพูดในใจกับพืชได้มั้ยครับอาจารย์"
"ไม่ได้ คุณต้องพูดกับมันดังๆ ชัดถ้อยชัดคำ ถ้าหากว่าคุณต้องการให้พืชตอบคุณ"
สุดท้ายดอนฮวนให้คาร์ลอสขอบคุณต้นไม้ แต่เขารู้สึกตัวเองมีอัตตามากเกินกว่าจะทำเช่นนั้นได้ ดอนฮวนมองเขาด้วยสายตาที่ปลอบโยนและเห็นใจ เขาบอกกับคาร์ลอสว่า
"โลกรอบๆ ตัวของเราเป็นสิ่งลึกลับนะครับคาร์ลอส และมนุษย์ก็ไม่ได้ดีไปกว่าสิ่งอื่นใดเลย ถ้าหากพืชต้นเล็กๆ เอื้อเฟื้อต่อเรา เราก็ต้องขอบคุณเธอ ไม่เช่นนั้นแล้ว บางทีเธออาจจะไม่ยอมให้เราออกไปจากที่นี่ก็เป็นได้"
คำสอนของดอนฮวนเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือว่า คนเราควรเลิกความรู้สึกว่าตัวเองมีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด เมื่อเราอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ และต้องการเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติ
*****
"คาร์ลอส คนเรานั้นเมื่อตกลงใจที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว เขาจะต้องทำมันจนถึงที่สุด และเขาจะต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ทำลงไปไม่ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเป็นอะไรก็ตาม เขาจะต้องตระหนักให้ได้ก่อนว่าเขาทำสิ่งนั้นทำไม จากนั้นเขาจึงจะสามารถทำสิ่งนั้นต่อไปได้โดยไม่มีข้อสงสัยหรือเสียใจใดๆ อีก"
"อาจารย์ครับ สิ่งที่อาจารย์บอกกับผมนี้ออกจะเป็นอุดมคติเกินไปหน่อยกระมังครับ เพราะสิ่งที่เราคิดไปว่าควรจะทำนั้น พอทำเข้าจริงๆ แล้ว เราก็ไม่อาจหลีกพ้นไปจากความสงสัยหรือความเศร้าเสียใจไปได้ไม่ใช่หรือครับ"
"ต้องได้สิคาร์ลอส ดูตัวผมก็แล้วกัน ผมเป็นคนไม่มีความสงสัยหรือเศร้าเสียใจในสิ่งใดที่ผมกระทำลงไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำลงไปล้วนเป็นข้อตกลงใจของผม และเป็นความรับผิดชอบของผมด้วย... ยกตัวอย่างในสิ่งที่ง่ายที่สุดที่ผมได้ทำลงไปคือการพาคุณออกเดินในทะเลทราย การทำเช่นนั้นอาจหมายถึงความตายของผม ความตายกำลังล่าผมอยู่ ดังนั้นผมจึงไม่มีช่องทางให้กับความสงสัยหรือเสียใจอีก หากว่าผมจะต้องตายจาก การพาคุณออกเดินในทะเลทรายแล้ว ผมก็ต้องตายเท่านั้นเอง"
"..."
"ในทางตรงกันข้าม คุณอาจรู้สึกเอาเองว่า คุณคงไม่ตายและข้อตัดสินใจของคนที่ไม่ตายนั้นย่อมยกเลิกได้ หรือมีความเสียใจหรือสงสัยได้ คาร์ลอสคุณควรจะรู้ว่าในโลกที่ความตายเป็นผู้ล่านั้น คนเราไม่มีเวลาสำหรับความสลดใจหรือสงสัยใดๆ อีก มันมีแต่เวลาในการตัดสินใจเท่านั้น"
คาร์ลอสพยายามจะแก้ตัวกับดอนฮวนว่า ทำไมเขาถึงยังไม่อาจยอมรับความคิดนี้ได้ เขาได้ยกตัวอย่างเรื่องของพ่อเขาที่ไม่เคยรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองรับปากว่าจะทำเลยมาเป็นข้ออ้าง
"คาร์ลอสถ้าหากคุณคิดว่าตัวคุณเข้มแข็งกว่าพ่อของคุณแล้ว ทำไมคุณถึงไม่ทำในสิ่งที่คุณพ่อคุณทำไม่ได้เล่า คุณเอาแต่บ่นติเตียนท่าน แต่สิ่งที่คุณไม่เคยทำเลยคือการขัดเกลาจิตวิญญาณของตัวคุณเอง คุณคร่ำครวญอยู่ตลอดชีวิตของคุณ ก็เพราะคุณไม่ได้ทำตัวให้เป็นผู้รับผิดชอบในข้อตกลงของคุณเอง คุณควรที่จะรู้ว่าการที่จะรับผิดชอบต่อข้อตกลงใจของตนเองนั้นหมายความว่าคุณต้องพร้อมที่จะตายเพื่อข้อตกลงอันนั้น"
"เดี๋ยวก่อนครับ ผมคิดว่าอาจารย์เบี่ยงประเด็นไปแล้วนะครับ การที่ผมยกเอาเรื่องของพ่อผมมาพูดก็เพื่อเป็นตัวอย่างให้เห็นว่า มีการกระทำที่ไม่จริงตามข้อตกลงใจเกิดขึ้นได้เสมอในโลกที่เป็นจริงเท่านั้น"
"คาร์ลอสมันไม่สำคัญหรอกครับว่าข้อตกลงใจนั้นจะเป็นอะไร ไม่มีอะไรที่มีความจริงจังมากหรือจริงจังน้อยกว่าอีกสิ่งหนึ่งหรอกครับ คุณไม่เห็นหรือว่าในโลกที่ความตายเป็นผู้ล่านี้ ถ้าคุณยอมรับความจริงข้อนี้ จะไม่มีข้อตกลงใจที่เล็กน้อยหรือข้อตัดสินใจที่ยิ่งใหญ่ จะมีก็แต่ข้อตัดสินใจที่เรากระทำเบื้องหน้าความตายที่ไม่มีใครหลีกพ้นได้เท่านั้น"
"..."
"คาร์ลอสผมอยากจะบอกคุณว่า คุณเป็นคนสร้างเมฆหมอกขึ้นรอบๆ ตัวของคุณเองทีละเล็กทีละน้อย คุณต้องลบทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบๆ ตัวของคุณออกไป จนกระทั่งไม่มีสิ่งใดเลยที่คุณสามารถทึกทักเอาได้ว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ปัญหาของคุณในขณะนี้ก็คือคุณจริงเสียเหลือเกิน ความพยายามทั้งหลายของคุณก็จริงเกินไป และอารมณ์ของคุณก็จริงมากด้วย คุณอย่าได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเช่นนั้น คุณจะต้องเริ่มหัดลบตัวตนของคุณออกไปให้ได้"
คำสอนของดอนฮวนเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ ไม่ว่าคนเราจะตัดสินใจทำเรื่องราวใดก็ตาม เขาต้องพร้อมที่จะตายเพื่อการตัดสินใจอันนั้น ชีวิตแต่ละขณะของเขาจึงจะเต็มเปี่ยม ไม่มีการระแวงสงสัยหรือการเสียใจให้เกิดแทรกขึ้นมาในจิตใจได้
ตอนที่ 3
วิญญาณของนักล่า
วันหนึ่ง ดอนฮวนพาคาร์ลอสผู้เป็นศิษย์ออกไปล่าสัตว์ในป่าเขาเพื่อฝึกเขาให้เป็น "พราน" ดอนฮวนจับงูกะปะตัวโตได้ตัวหนึ่ง แล้วฆ่ามันถลกหนังทำความสะอาดตับไตไส้พุง ก่อนที่จะย่างงูตัวนั้นเป็นอาหารสำหรับคนทั้งสอง
"คาร์ลอสตอนนี้วิญญาณของนักล่ากำลังกลับมาหาคุณแล้วละ"
"ผมไม่เข้าใจครับ"
"พรานต้องล่าเสมอไป คุณเองก็มีหัวในการเป็นพรานเหมือนกับตัวผมที่เป็นพรานหรือนักล่า แต่การล่าของผมนั้นเป็นการล่าเพื่ออยู่ ผมสามารถดำรงอยู่บนผืนแผ่นดินนี้ตรงไหนก็ได้
การเป็นพรานได้นั้นหมายถึงการที่คุณต้องรู้มากทีเดียว มันหมายถึงการที่คุณเห็นโลกในลักษณะที่ต่างออกไป การเห็นที่จะเป็นพรานได้นั้น คุณต้องมีดุลยภาพอย่างสมบูรณ์กับสิ่งอื่นๆ ทุกสิ่ง มิฉะนั้นแล้วการล่าจะเป็นงานประจำซ้ำซากที่ไร้ความหมาย
ยกตัวอย่างเช่น ในวันนี้เราฆ่างูตัวนั้น ผมต้องขอโทษมันที่ต้องตัดชีวิตของมันโดยฉับพลัน และแน่นอนผมได้ทำในสิ่งที่ผมทราบดีว่าสักวันหนึ่งชีวิตของผมก็จะถูกตัดออกในลักษณะที่ใกล้เคียงกันนี้คือถูกตัดออกโดยฉับพลันและแน่นอน ดังนั้นทั้งหมดนี้ตัวเราและงูอยู่ในระดับเดียวกัน งูตัวหนึ่งทำให้เราอิ่มในวันนี้"
"แต่อาจารย์ครับ เมื่อผมล่าสัตว์ ผมไม่เคยคิดถึงดุลยภาพที่อาจารย์พูดถึงเลยครับ"
"นั่นไม่จริงหรอก คุณมีแววในการล่าสัตว์เป็นแนวโน้มตามธรรมชาติอยู่แล้ว แม้คุณอาจจะไม่ชอบที่จะล่าสัตว์นักก็ตาม แต่คุณจะล่าได้ดี พรานคือคนที่รัดกุมเป็นพิเศษ พรานให้โอกาสกับโชคเพียงเล็กน้อย การทำตัวให้เป็นพราน คือกลวิธีอีกวิธีหนึ่งที่ผมพยายามจะสอนคุณ เพื่อให้คุณเรียนรู้ที่จะมีชีวิตอยู่ในลักษณะที่ต่างออกไปจากเดิม คุณควรจะรู้ไว้ว่าในสมัยโบราณการล่าเป็นการกระทำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดชนิดหนึ่งของมนุษย์ชาติ เพราะพรานทุกคนเป็นผู้ที่มีพลัง มีความอดทนต่อความเข้มงวดที่ได้รับจากชีวิต"
"..."
"คาร์ลอสผมอยากจะบอกคุณว่าในอดีตก่อนที่ผมจะเป็นพรานนั้น ผมถูกเหยียดหยาม ถูกคดโกง เพราะผมเป็นชาวอินเดียนแดง ผมเคยคร่ำครวญ เคยบ่นมามาก สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในชีวิตผมก็คือความทุกข์ แต่แล้วโชคได้ช่วยผมไว้ มีคนๆ หนึ่งได้เป็นครูผมสอนให้ผมรู้จักการล่าและวิถีของพราน ทำให้ผมรู้ชัดแจ้งว่า วิถีชีวิตที่ผมดำเนินอยู่ในตอนนั้นไม่มีค่าควรแก่การมีชีวิตอยู่ต่อไป หากผมต้องการจะเป็นพรานที่มีค่าควรแก่การที่จะเคารพตัวเองได้ ผมต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผมและผมก็เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผมได้"
"แต่ผมมีความสุขกับชีวิตในปัจจุบันของผมอยู่แล้วนี่ครับ ทำไมผมถึงต้องเปลี่ยนแปลงมันด้วยล่ะครับ"
"คาร์ลอสคุณคิดว่าผมกับคุณเป็นคนที่เท่าเทียมกันหรือเปล่า"
"แน่นอน เราเป็นคนที่เท่าเทียมกันครับ"
ในขณะที่ตอบคาร์ลอสคิดว่าเขาถ่อมตัวมากแล้ว เพราะในตอนนั้นเขาเป็นนักศึกษาระดับปริญญาเอกเป็นชาวตะวันตกที่มีอารยะแล้ว ย่อมเหนือกว่าคนอินเดียนแดงมากนัก
"ไม่หรอกเราไม่ใช่คนที่เท่าเทียมกัน"
"อ้าวทำไมล่ะครับ เราเท่าเทียมกันนะครับ"
ตอนนั้นคาร์ลอสยังนึกว่า อาจารย์ของเขารู้สึกต่ำต้อยเสียอีก
"ไม่หรอกเราไม่ใช่คนที่เท่าเทียมกันเลย ผมเป็นพราน เป็นนักรบ ส่วนคุณเป็นแมงดาที่ยังต้องเกาะคนอื่นอยู่"
ดอนฮวนพูดออกมาโดยไม่มีลักษณะชวนทะเลาะหรือเหยียดหยาม หรือปราศจากความยั้งคิด แต่เขาพูดออกมาด้วยพลังที่สงบราบเรียบจนคาร์ลอสไม่รู้สึกโกรธแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขากลับต้องไปครุ่นคิดทบทวนความหมายและศักดิ์ศรีของความเป็นคนอีกครั้งว่าวัดด้วยอะไรกันแน่ รูปโฉมภายนอก ฐานะทางสังคม หรือคุณค่าพลังภายในที่คนๆ นั้นมีอยู่ในตัว
*****
คาร์ลอสได้เล่าให้ดอนฮวนฟังว่า เขาเคยมีแฟนคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้หญิงที่เขารักมาก แต่แล้ววันหนึ่งเธอก็ผละทิ้งเขาไป
"ทำไมเธอถึงไม่อยู่กับคุณ" ดอนฮวนถามคาร์ลอส
"เธอผละหนีไปเฉยๆ ครับ"
"เพราะสาเหตุอะไรล่ะ"
"มันมีหลายสาเหตุครับ"
"ไม่ใช่มีหลายสาเหตุหรอกคาร์ลอส มันมีเพียงสาเหตุเดียวเท่านั้นแหละ คือว่า คุณทำตัวของคุณเองให้เป็นที่เสาะหาได้ง่ายเกินไป"
"มีอะไรผิดอย่างนั้นหรือครับ"
"ผิดมากทีเดียวแหละ ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนดีมากทีเดียว คุณสูญเสียผู้หญิงคนนี้ได้ เพราะคุณเป็นคนที่หยั่งรู้ได้ง่ายๆ คุณอยู่แค่เอื้อมของเธอเสมอ และชีวิตของคุณจำเจเสียเหลือเกิน"
"อะไรคือจุดสำคัญของเรื่องนี้ครับอาจารย์"
"การเป็นผู้ที่ไม่มีใครอาจหยั่งถึงได้ คือจุดสำคัญของเรื่องนี้ที่ผมอยากบอกคุณ ศิลปะของพรานคือการเป็นผู้ที่ไม่มีใครหยั่งถึงได้ ในกรณีของคุณกับแฟนนั้น คุณอยู่กับเธอวันแล้ววันเล่าจนกระทั่งว่ามีความรู้สึกเดียวที่เหลืออยู่คือความเบื่อหน่าย ทำไมคุณไม่หัดทำตัวเป็นพรานและพบกับเธอเป็นครั้งคราวเล่า
การเป็นผู้ที่ไม่มีใครหยั่งถึงได้นั้นย่อมหมายความว่าคุณต้องสัมผัสโลกรอบตัวของคุณเบาๆ ไม่ละโมบ ไม่บีบคั้นผู้คนรอบข้างคุณจนเขาไม่เป็นผู้เป็นคนโดยเฉพาะคนที่คุณรัก"
"แต่ผมไม่เคยบงการหรือใช้คนอื่นเลยนะครับ"
"ต้องเคยสิ ไม่เช่นนั้นคุณจะพูดกับผมหรือว่าคุณเหนื่อยหน่ายและเบื่อผู้คนมาก คาร์ลอส นายพรานนั้นเขารู้ดีว่าเขาจะล่อสัตว์ให้เข้ามาติดกับดักของเขาครั้งแล้วครั้งเล่าได้เสมอ ดังนั้นเขาจึงไม่กังวลใจ เพราะความกังวลใจคือการเป็นผู้ที่หยั่งรู้ได้ง่ายๆ ชนิดที่ไม่ฉลาดเฉลียวเอาเลย และคราวใดที่คุณกังวลใจ คุณจะเกาะยึดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไว้ด้วยความสิ้นหวัง และเมื่อคุณยึดสิ่งใดไว้คุณจะหมดกำลัง หรือทำให้สิ่งอื่นหรือผู้อื่นที่คุณเกาะอยู่นั้นพลอยหมดพลังไปด้วย"
"..."
"อ้อ ผมขอบอกคุณด้วยว่า การเป็นผู้ที่ไม่มีใครหยั่งถึงได้นั้นไม่ได้หมายความถึง การหลบซ่อนตัวหรือทำตัวให้ลึกลับหรือการไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่นหรอกนะครับ แต่หมายถึงการใช้โลกของเขาอย่างประหยัดและใช้มันอย่างอ่อนโยน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของพืช สัตว์ ผู้คนหรือพลังภายใน พรานจะจัดการกับโลกของเขาอย่างคุ้นเคย แต่กระนั้นก็เป็นผู้ที่ไม่อาจหยั่งถึงได้เลยต่อโลกชนิดเดียวกันนั้น"
"นั่นไม่ขัดแย้งกันหรือครับอาจารย์ พรานจะเป็นผู้ไม่อาจหยั่งถึงได้ยังไงครับ ถ้าหากเขาต้องอยู่ในโลกของเขา ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า วันแล้ววันเล่า"
"คาร์ลอสคุณยังไม่เข้าใจ พรานเป็นผู้ที่ไม่อาจหยั่งถึงได้เพราะเขาไม่บีบโลกของเขาให้บุบเบี้ยวผิดรูปร่าง เขายื่นมือออกมาแตะโลกนี้เบาๆ อยู่ให้นานเท่าที่เขาต้องการ และหลังจากนั้นเขาก็ออกจากโลกนี้ไปอย่างว่องไวเกือบจะไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย"
ตอนที่ 4
การต่อสู้ครั้งสุดท้าย
ดอนฮวน เคยบอกคาร์ลอสว่า
"การเป็นพรานนั้น คนเราจะต้องทำลายการกระทำที่ซ้ำซากจำเจในชีวิต พรานต้องไม่เหมือนกับสัตว์ที่เขาล่า ที่ถูกกำหนดตายตัวด้วยตารางเวลา พรานต้องมีอิสระเปลี่ยนแปลงได้ง่ายและไม่อาจทำนายได้เลย... ครั้งหนึ่งในชีวิตของผม ผมก็เคยประพฤติอย่างเดียวกับสัตว์ที่ผมล่า แต่ครั้นเมื่อผมรู้จักตนเองแล้วว่า ผมเป็นผู้ถูกล่าจากบางสิ่งหรือจากคนบางคน ผมก็เลิกใช้ชีวิตที่เป็นเหยื่อของผมเสียตั้งแต่บัดนั้น"
คาร์ลอสบอกกับดอนฮวนว่า เขาเคยคิดที่จะเป็นศิลปินและใช้ความพยายามอยู่หลายปีที่จะเป็นศิลปิน แต่เขาก็ล้มเหลวอย่างปวดร้าว
"คาร์ลอส นั่นเพราะคุณไม่เคยรับผิดชอบในการอยู่ในโลกอันไม่อาจหยั่งถึงได้นี้ คุณจึงเป็นศิลปินไม่ได้"
"แต่ผมก็ได้พยายามอย่างที่สุดแล้วนะครับ"
"ไม่หรอก คุณยังไม่รู้หรอกว่าที่ดีที่สุดของคุณนั้นเป็นอย่างไร"
"ผมหมายความว่า ผมทำในสิ่งที่ผมสามารถทำได้ครับ"
"ก็ยังผิดอีก ความจริงคุณสามารถทำได้ดีกว่านี้ แต่คุณคิดผิดไปคือ คุณไปคิดว่าคุณยังมีเวลาอยู่มากมาย"
"หมายความว่ายังไงครับ"
"หมายความว่า คุณคิดว่าชีวิตของคุณจะอยู่ยงยืดยาวตลอดไป"
"เปล่า ผมไม่ได้คิดเช่นนั้นนะครับ"
"ถ้าคุณไม่คิดว่าชีวิตของคุณจะอยู่ยงคงทนตลอดไป แล้วคุณคอยอะไรอยู่เล่า ทำไมคุณถึงรีรอที่จะเปลี่ยนแปลงเล่า"
"อาจารย์เห็นหรือครับว่าผมไม่อยากเปลี่ยนแปลง
"ใช่ ผมเห็นอย่างนั้น คุณไม่มีเวลาที่จะเล่นอยู่กับเรื่องนี้หรอกนะคาร์ลอส ไม่ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ในขณะนั้น นี่อาจเป็นการกระทำครั้งสุดท้ายของคุณบนพื้นโลกนี้ก็เป็นได้ มันอาจเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของคุณ ไม่มีพลังใดมาให้คำรับรองได้ว่า คุณจะมีชีวิตอยู่ยืนนานออกไปแม้นาทีเดียว"
"ผมรู้"
"ไม่หรอก คุณไม่รู้หรอก เพราะถ้าคุณรู้ คุณจะเป็นพราน แต่ตอนนี้คุณยังไม่ใช่"
"..."
"คุณไม่มีเวลาหรอก คาร์ลอสคุณไม่มีเวลาจริงๆ พวกเราทุกคนไม่มีเวลาเอาเลย เพราะฉะนั้นจงอย่าทำลายการกระทำครั้งสุดท้ายบนโลกนี้ด้วยอารมณ์หมกมุ่นที่ไร้สาระ"
"ผมเห็นด้วยครับ"
"อย่าเพียงแค่เห็นด้วยกับผมคาร์ลอส จงทำมันลงไป จงเผชิญกับสิ่งที่มาท้าทายแล้วเปลี่ยนแปลงตัวเองเสีย"
"เปลี่ยนทันทียังงั้นหรือครับ"
"ใช่แล้ว การเปลี่ยนแปลงที่ผมกำลังพูดถึงอยู่นี้ไม่ได้เกิดขึ้นตามลำดับ มันจะต้องเกิดขึ้นโดยฉับพลัน แต่คุณไม่ได้เตรียมตัวสำหรับการกระทำโดยฉับพลันที่จะทำให้ นี่คือสาเหตุที่คุณเชื่อว่าคุณกำลังเปลี่ยนแปลงทีละเล็กทีละน้อย"
"ถ้าเช่นนั้น การอยู่อย่างมีความสุขคืออะไรครับ"
"ในทัศนะของพรานหรือนักรบนั้น ความสุขของเขาอยู่ที่การกระทำสิ่งหนึ่งลงไปด้วยความรู้ชัดว่าเขาไม่มีเวลาพอ ดังนั้นการกระทำของเขาทุกอย่างจะมีพลังที่ประหลาดมาก การกระทำของเขาจะมีสำนึกของพลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขารู้ว่าการกระทำนั้นเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของเขา มันเป็นความสุขที่เกิดขึ้นอย่างประหลาด เมื่อได้ทำสิ่งที่รู้อยู่เต็มเปี่ยมว่า ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามที่สิ่งนั้นเป็นการกระทำครั้งสุดท้ายบนโลกนี้ ถ้าคุณไม่มีสำนึกเช่นนี้อยู่ในตัว การกระทำของคุณจะไม่อาจมีไหวพริบ มีพลังมหาศาลได้"
"คำพูดของอาจารย์ทำให้ผมหวาดกลัวความตายครับ"
"แต่เราทุกคนก็ต้องตายนะ"
"ผมไม่อยากไปกังวลถึงมันครับ"
"ผมไม่ได้พูดเพื่อให้คุณกังวลกับมัน แต่ผมแนะให้คุณใช้มัน จงเพ่งความสนใจของคุณที่ช่วงต่อระหว่างคุณกับความตายของคุณ โดยไม่มีความเสียใจ เศร้าสลด หรือความกังวลใจอะไรทั้งสิ้น จงเพ่งความใส่ใจในข้อเท็จจริงที่ว่าคุณไม่มีเวลาพอที่จะปล่อยให้การกระทำของคุณเลื่อนลอยไปเรื่อยๆ จงทำให้การกระทำของคุณเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายบนพื้นโลกด้วยเงื่อนไขนี้เท่านั้น การกระทำของคุณถึงจะมีพลังที่ถูกต้อง ไม่เช่นนั้นแล้วการกระทำของคุณจะเป็นการกระทำของคนขี้ขลาด"
"มันเลวร้ายนักหรือครับที่จะเป็นคนขี้ขลาด"
"ไม่หรอกคาร์ลอส มันไม่ใช่จะเลวร้ายอะไร หากว่าคุณจะเป็นผู้ที่มีชีวิตยืนยาวอยู่ได้ตลอดไป แต่ถ้าหากคุณจะต้องตายก็ไม่มีเวลาสำหรับความขี้ขลาด ทั้งนี้เพราะความขี้ขลาดทำให้คุณไขว่คว้าหาสิ่งที่เกิดขึ้นในความคิดของคุณเท่านั้น มันทำให้คุณระงับลงได้บ้างในบางขณะที่ทุกสิ่งสงบลงชั่วคราว แต่หลังจากนั้นโลกอันพิลึกพิลั่นและลึกลับนี้จะอ้าปากของมันมาหาคุณเหมือนกับที่มันอ้าปากเขมือบพวกเราทุกคน และคุณจะรู้ชัดขึ้นมาทันทีว่า วิถีทางที่คุณเคยมั่นใจเป็นอย่างยิ่งนั้น ความจริงแล้วหาได้เป็นหนทางที่มั่นใจได้เลย การเป็นคนขี้ขลาดจะปิดกั้นเราไว้จากการสำรวจตรวจสอบ และทำลายโชคดีของเราในฐานะที่เกิดมาเป็นมนุษย์"
"แต่การมีชีวิตอยู่กับความคิดที่เกี่ยวกับความตายอยู่ตลอดเวลา อย่างที่อาจารย์บอกผมนั้น มันไม่ใช่ชีวิตอย่างที่เป็นอยู่จริงๆ ของชาวโลกทั่วไปเลยนะครับ"
"ความตายของเรากำลังคอยเราอยู่ และการกระทำที่เราทำอยู่ในขณะนี้อาจเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายบนพื้นโลก ผมเรียกว่าเป็นการต่อสู้ เพราะมันเป็นการดิ้นรน คนส่วนใหญ่ทำกรรมหนึ่งแล้วเลื่อนไปสู่อีกกรรมหนึ่งโดยไม่มีการดิ้นรนต่อสู้หรือแม้แต่คิดในทางตรงกันข้าม พรานจะกำหนดการกระทำทุกอย่าง และเนื่องจากว่าพรานรู้ชัดถึงความตายของตัวเขา เขาจึงก้าวไปข้างหน้าอย่างสุขุมรอบคอบ ราวกับว่าการกระทำทุกชนิดเป็นการสู้รบครั้งสุดท้าย... คนโง่เท่านั้นที่ไม่อาจสังเกตเห็นข้อได้เปรียบที่พรานหรือนักรบมีเหนือมนุษย์คนอื่นพรานหรือนักรบจะทำการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของเขาด้วยความใส่ใจเต็มที่ ย่อมเป็นธรรมดาที่การกระทำครั้งสุดท้ายบนพื้นโลกจะต้องเป็นการกระทำที่ดีที่สุดของเขา มันเป็นความสุขที่ได้ทำเช่นนั้น และมันทำให้ความขลาดกลัวของเขาอ่อนกำลังลง"
"ผมก็ยังรู้สึกหวาดผวาอยู่ดี เมื่ออาจารย์พูดเช่นนี้"
"ผมเคยบอกคุณแล้วว่าโลกนี้เป็นโลกที่ลึกลับมหัศจรรย์ พลังที่นำทางให้กับมนุษย์นั้นไม่อาจทำนายได้และสุดแสนพิสดาร แต่กระนั้นก็ตามความงามของมันควรค่าแก่การทัศนา"
"มีสิ่งหนึ่งที่คอยนำทางให้กับพวกเราหรือครับ"
"แน่นอน พลังนำเราอยู่"
"อาจารย์อธิบายมันได้มั้ยครับ"
"ไม่ได้หรอก นอกจากเราจะเรียกมันว่า กำลัง จิตวิญญาณ อากาศ ลม หรืออะไรทำนองนั้นแหละ"
ตอนที่ 5
ความรู้สึกของนักรบ
คาร์ลอสเคยถามดอนฮวนว่า
"อาจารย์ครับ พรานกับนักรบต่างกันยังไงครับ"
"พรานไม่ใส่ใจที่จะใช้พลัง แต่นักรบแสวงหาพลังและหนทางที่จะเข้าสู่พลังไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่าความแตกต่างระหว่างพรานกับนักรบคือ นักรบกำลังเดินไปหาพลัง ส่วนพรานไม่รู้เรื่องนี้เลย หรือรู้ก็เพียงเล็กน้อย ข้อตัดสินว่าใครสามารถเป็นนักรบหรือเป็นพรานได้นั้น ไม่ได้อยู่ในอำนาจของคนเราเลย ข้อตัดสินนั้นอยู่ในอาณาจักรของพลังที่มาทำงานให้กับมนุษย์ต่างหาก"
"อาจารย์มีข้อแนะนำให้ผมมั้ยครับ"
"จงทำตัวเป็นผู้ที่พลังเข้าถึงได้ นักรบคือพรานผู้ล่าพลัง เป็นพรานที่สมบูรณ์แบบที่สุด นักรบไม่มัวเมา หรือบ้าๆ บอๆ เขาไม่มีทั้งเวลาหรือข้อกำหนดใดๆ มาหลอกลวงหรือโกหกตัวเขาเอง หรือก้าวไปข้างหน้าอย่างผิดพลาด... เกณฑ์การวัดความเป็นนักรบนี้สูงมาก เพราะเกณฑ์วัดนี้คือชีวิตที่ปรับให้เป็นระเบียบแล้วของนักรบ ซึ่งจะต้องใช้เวลานานในการที่จะทำให้กระชับและสมบูรณ์แบบ นักรบจะไม่ละทิ้งคุณสมบัติอันนี้ไปเพราะเหตุว่าคาดการณ์ผิดหรือเห็นสิ่งนี้เป็นอีกสิ่งหนึ่ง"
"แต่ผมยังไม่ทราบว่า พลังคืออะไรเลยครับอาจารย์?"
"พลังคืออะไรสิ่งหนึ่งที่นักรบเข้าจัดการ แรกทีเดียวเรื่องนี้เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อเอาเลย ยากที่จะเข้าถึง ยากแม้แต่จะนำมาคิด นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณในขณะนี้ แต่ต่อมาพลังจะเป็นเรื่องจริงจังขึ้นมา คุณอาจจะมีมันก็ได้ หรือคุณเองอาจไม่รู้ชัดว่ามันมีอยู่จริง แต่คุณก็ทราบว่ามีสิ่งหนึ่งอยู่ที่นั่น มีสิ่งหนึ่งที่คุณไม่เคยสังเกตมาก่อน... ต่อมาอีกพลังจะปรากฏออกมาในฐานะที่เป็นสิ่งหนึ่งซึ่งควบคุมไม่ได้ที่เข้ามาสู่ตัวคุณ ผมเองก็บอกไม่ได้ว่ามันเข้ามาได้อย่างไร พลังไม่ได้เป็นอะไรเลย แต่มันก็ทำให้เกิดสิ่งที่น่าพิศวงต่อหน้าต่อตาของคุณ และในลำดับสุดท้ายพลังเป็นสิ่งหนึ่งที่คุณมีอยู่ในตัวของคุณ มันเป็นสิ่งที่ควบคุมการกระทำของคุณ แต่กระนั้นก็เชื่อคำสั่งของคุณด้วย"
"อาจารย์ครับ ถ้าคนธรรมดาเขามาฟังเรื่องพลังของอาจารย์ เขาคงหาว่าเป็นเรื่องของคนเพ้อเจ้อนะครับ"
"ถ้าเช่นนั้น ก็ให้โลกที่เจริญแล้วของพวกคุณอยู่ในที่ที่มันเคยอยู่นั่นแหละ ให้มันเป็นอย่างนั้นแหละ ไม่มีใครขอให้คุณทำอย่างคนเพี้ยนคนบ้าเลย... ผมเพียงบอกกับคุณว่า นักรบต้องสมบูรณ์แบบเพื่อที่จะได้จัดการกับพลังที่เขาล่า คุณอาจเป็นคนบ้าได้โดยไม่ต้องให้ผมช่วย แต่พลังชนิดหนึ่งที่นำทางให้เราได้นำคุณมาหาผม และผมได้ใช้ความพยายามที่จะสอนคุณให้เปลี่ยนวิถีชีวิตที่โง่เขลา แล้วหันมาดำเนินชีวิตที่สะอาดแข็งแรงของพราน จากนั้นผมจึงได้สอนให้คุณเรียนรู้การมีชีวิตที่บริสุทธิ์ไม่แปดเปื้อนของนักรบ แต่คุณก็ยังไม่สามารถใช้ชีวิตเช่นนั้นได้อยู่ดี ถ้าคุณยังเป็นอยู่อย่างนี้ เมื่อไหร่คุณถึงจะกลายเป็นผู้รู้แจ้งได้เล่า"
"ผู้รู้แจ้ง คือใครครับอาจารย์"
"นักรบบางคนอาจกลายเป็นผู้รู้แจ้งได้ในวันหนึ่ง ผมเคยบอกคุณไปแล้วใช่มั้ยว่า นักรบคือพรานผู้บริสุทธิ์ที่ไม่แปดเปื้อน และเป็นผู้ล่าพลัง ถ้าหากนักรบล่าพลังได้สำเร็จเขาก็จะเป็นผู้รู้แจ้ง"
จากนั้นดอนฮวนได้พาคาร์ลอสไปยังสถานที่ของพลัง ซึ่งเป็นสถานที่ที่นักรบมาฝึกฝนสมาธิจิตด้วยการเข้าไปอยู่ในกรงไม้ แล้วฝังตัวอยู่ในดิน เป็นเวลาหนึ่งคืนหรือนานเท่าที่เขาต้องการ
"แล้วพวกสัตว์ล่ะครับอาจารย์ มันไม่มาเขี่ยเอาดินออกแล้วเข้าไปในกรงเพื่อทำร้ายนักรบหรือครับ"
"ไม่หรอก นักรบไม่กังวลในเรื่องนี้เลย คุณเท่านั้นที่กังวลเพราะคุณไม่มีพลัง แต่ในทางตรงกันข้าม นักรบมีเจตนาที่แน่วแน่ และมันสามารถปกป้องเขาไว้จากทุกสิ่งทุกอย่างได้ คุณควรรู้ว่าการแสวงหาความสมบูรณ์แบบในวิญญาณของความเป็นนักรบ เป็นงานเพียงอย่างเดียวที่มีคุณค่าในความเป็นมนุษย์ ในสายตาของคนอย่างพวกเรา"
คาร์ลอสสารภาพกับดอนฮวนตรงๆ ว่า เขาไม่มีคุณค่าอะไรเลยที่จะมายังสถานที่แห่งนี้ โลกของนักรบอย่างดอนฮวนเป็นโลกที่สวยงามและแข็งแรง แต่โลกของคนอย่างเขาเป็นโลกของคนอ่อนแอ และสิ่งแวดล้อมในชีวิตคนเมืองที่เขาอยู่นั้นได้ทำให้วิญญาณของเขาบุบเบี้ยวไม่ดีงามไปเสียแล้ว
"คาร์ลอส คุณรู้สึกหมดหวังเหมือนกับใบไม้ท่ามกลางสายลมหรือ"
"ครับอาจารย์ ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ครับ"
"คาร์ลอสไม่ว่าคุณจะชอบความรู้สึกที่เสียใจ สงสารตัวเอง หรือทำร้ายตัวเองของคุณมากเพียงใดก็ตาม คุณก็ต้องเปลี่ยนแปลงความรู้สึกในเชิงลบเช่นนี้เสียให้จงได้"
"อารมณ์ชนิดนี้ไม่ควรเข้ามาตอแยกับชีวิตของนักรบหรอกครับ"
"แน่นอน ผมตระหนักดีว่าการกระทำที่ยากที่สุดในโลกนี้ก็คือการทำความรู้สึกอย่างของนักรบขึ้นมาในตัวเอง ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่จะมาเศร้าเสียใจแล้วคร่ำครวญ และรู้สึกว่าสมควรแล้วที่ได้ทำเช่นนี้ โดยเชื่อเอาว่าคนอื่นทำร้ายเราเสมอไป ไม่มีใครทำอะไรให้ใครหรอกครับ เชื่อผมเถอะไม่มีเลยสำหรับนักรบ"
จากนั้น ดอนฮวนจัดแจงฝังคาร์ลอสเอาไว้ในดิน และนั่งพักเฝ้าดูอยู่ที่นั่นไม่ไปไหน
"คาร์ลอสนักรบฝังตัวเองเพื่อที่จะพบกับพลัง ไม่ใช่เพื่อร้องไห้สงสารตัวเองหรอกนะ ความรู้สึกสงสารตัวเองจะไม่มาเย้าแหย่กับพลังได้เลย อารมณ์ของนักรบนั้นจะต้องมีการควบคุมตัวเอง และปล่อยตัวเองได้ในขณะเดียวกัน"
"..."
"นักรบต้องรู้จักสร้างอารมณ์ของตนเองขึ้นมา มันเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่จะตัดความเหลวไหลไร้สาระออกไป และทำให้ตัวเองสะอาด ปราศจากมลทิน คุณต้องหัดมีอารมณ์ของนักรบในการกระทำทุกอย่าง... ไม่มีพลังใดๆ ที่มีในชีวิต ที่ขาดความรู้สึกของนักรบชนิดนี้ไปหรอกครับ เมื่อกี้คุณบอกผมว่า คุณเป็นใบไม้ที่รอคอยความกรุณาจากสายลม ชีวิตของคุณไม่มีพลังเลย มันช่างเป็นความรู้สึกที่น่าเกลียดเสียเหลือเกิน"
"..."
"ในทางตรงกันข้าม นักรบคือพรานนั่นเอง เขาจะใคร่ครวญในทุกสิ่งทุกอย่าง นั่นคือการควบคุมตัวเอง แต่ครั้นเมื่อการใคร่ครวญจบสิ้นลง นักรบจะกระทำ เขาปล่อย และนี่แหละคือการปล่อยวางตัวเอง นักรบไม่ได้เป็นใบไม้ที่อยู่ในความกรุณาของสายลม ไม่มีใครผลักดันเขา ไม่มีใครสั่งให้นักรบทำสิ่งต่างๆ ที่เขาไม่อยากทำ หรือทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วของเขา... นักรบเต้นไปตามเพลงของการอยู่รอด และเขามีชีวิตอยู่ในสภาพที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นักรบอาจถูกทำให้รู้สึกเจ็บปวดได้ แต่เขาจะไม่รู้สึกว่าถูกหยามหยันได้เลย เพราะสำหรับนักรบนั้นไม่มีอะไรเลยที่มาทำให้เขาขุ่นเคืองได้ ในส่วนที่เกี่ยวกับการกระทำของเพื่อนมนุษย์ ตราบใดที่การกระทำของเขาทำลงไป ในความรู้สึกที่ถูกต้อง"
"..."
"อารมณ์ของนักรบไม่ได้อยู่สูงสุดเอื้อมในโลกของคุณ หรือโลกของใครเลยนะครับ คาร์ลอสคุณต้องมีความรู้สึกเช่นนี้ให้ได้ เพื่อตัดปัญหายุ่งๆ ในชีวิตของคุณ แน่นอนผมรู้ดีว่าการที่จะมีความรู้สึกอย่างนักรบไม่ใช่เรื่องง่ายๆ มันเป็นการปฏิวัติจิตใจเลยทีเดียว การที่คุณจะยอมรับว่าสรรพสิ่งไม่ว่า สิงโต หนู งู พืช และเพื่อนมนุษย์มีความเท่าเทียมกันนั้น ความจริงเป็นการกระทำที่มหัศจรรย์อย่างยิ่งยวดในจิตวิญญาณของความเป็นนักรบ การที่คนเราจะทำเช่นนี้ได้ตัวเขาต้องมีพลังภายในก่อนครับ"
ตอนที่ 6
โลกของพลัง
ดอนฮวนเคยบอกกับคาร์ลอสผู้เป็นศิษย์ว่า
"พลังเป็นสิ่งแปลก เราไม่อาจจับมันไว้ได้อย่างมั่นคง หรือพูดออกมาให้ชัดว่ามันคืออะไรแน่ มันเป็นความรู้สึกที่เรามีต่อสิ่งต่างๆ นอกจากนี้พลังยังเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนด้วย มันเป็นของคุณเพียงคนเดียว พรานผู้ล่าพลังจะจับพลังเอาไว้ ต่อมาเขาจะสั่งสมเพิ่มพูนมันขึ้นมาเรื่อยๆ ในฐานะที่มันเป็นสิ่งที่ค้นหามาได้เฉพาะตัว ดังนั้นพลังส่วนตัวนี้จะงอกงามขึ้นได้ และอาจเป็นไปได้เหมือนกันว่า ถ้าหากนักรบคนนั้นมีพลังส่วนตัวที่มากพอ ในที่สุดเขาก็จะกลายเป็นผู้รู้แจ้ง"
"เราจะสะสมพลังได้อย่างไรครับ"
"นั่นก็เป็นความรู้สึกอีกชนิดหนึ่ง มันขึ้นอยู่กับว่านักรบคนนั้นเป็นคนชนิดไหนด้วย ครูของผมเป็นคนที่มีธรรมชาติรุนแรงกร้าวแกร่ง ท่านจึงสั่งสมพลังจากความรู้สึกชนิดนั้น ทุกสิ่งที่ท่านทำลงไปมันจะแรงและตรงเสมอ ในทางกลับกัน สิ่งต่างๆ ที่เกิดกับท่านก็จะเกิดขึ้นในลักษณะเดียวกันเสมอ"
"ผมยังไม่เข้าใจเลยว่า พลังจะสะสมขึ้นมาจากความรู้สึกได้อย่างไรครับ"
"ไม่มีทางที่จะอธิบายในเรื่องนี้หรอกคาร์ลอส คุณจะต้องทำด้วยตัวของคุณเองเท่านั้น... ตอนที่ผมปีนเขาตามอาจารย์ขึ้นไปบนยอดเขานั้น ผมเห็นอาจารย์เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วว่องไวมากทั้งๆที่อาจารย์มีอายุร่วมหกสิบแล้ว ในขณะที่คนหนุ่มอายุสี่สิบปลายๆ อย่างผม ยังแข็งแรงสู้อาจารย์ไม่ได้เลย...คาร์ลอสคนเราสามารถเป็นหนุ่มได้เท่าที่เราอยากจะเป็นถ้าหากคุณมีพลังและสะสมพลังเอาไว้ได้ ร่างกายของคุณจะมีสมรรถนะชนิดที่ตัวคุณเองก็คาดไม่ถึงเลยทีเดียว แต่ถ้าหากคุณใช้พลังอย่างสุรุ่ยสุร่าย คุณก็จะเป็นคนแก่อ้วนฉุเมื่อไหร่ก็ได้ ทั้งๆ ที่คุณอายุขัยยังน้อยไม่มีกำหนด"
*****
"อาจารย์ครับ ผมรู้สึกว่าโลกนี้ลึกลับเกินกว่าจะเข้าใจหรือหาคำตอบได้หมดครับ"
"ถูกต้อง โลกเป็นสิ่งลึกลับ เพราะสิ่งที่คุณกำลังมองอยู่นี้ไม่ใช่ทั้งหมดที่คุณเห็น โลกมีมากกว่านี้ ความจริงแล้วมีมากเหลือเกินจนไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นเมื่อคุณพยายามที่จะให้มันเป็นอะไรขึ้นมาให้ได้นั้นทั้งหมดที่คุณทำได้จริงๆ ก็คือ พยายามจะทำให้โลกเป็นที่คุ้นเคยดีขึ้นสำหรับตัวคุณเท่านั้นเอง...คุณกับผมอยู่ที่นี่ อยู่ในโลกที่คุณบอกว่าจริง เพราะทั้งคุณและผมรู้จัก มันดีเท่านั้นเอง คุณยังไม่รู้จักโลกของพลัง ดังนั้นคุณจึงไม่อาจทำให้โลกของพลังนั้น เป็นภาพของโลกที่คุณรู้จักเป็นอย่างดีได้"
"ผมยังทำใจยอมรับโลกของพลังนี้ไม่ได้เลยครับ"
"ไม่เป็นไรหรอกคาร์ลอส ผมทราบดีว่ามันเป็นเรื่องยากเย็นขนาดไหนที่จะมีชีวิตอย่างนักรบ แต่ถ้าคุณเชื่อในวิธีการที่ผมสอนคุณและกระทำตามสิ่งที่ผมถ่ายทอดให้คุณแล้ว คุณก็น่าจะมีพลังอย่างเพียงพอที่จะเดินข้ามมายา และมีพลังพอที่จะเห็นและหยุดโลกได้"
"แต่ทำไมผมถึงจะต้องการพลังล่ะครับ"
"ในตอนนี้คุณคิดหาเหตุผลไม่ได้หรอกคาร์ลอส อย่างไรก็ตามถ้าหากคุณสะสมพลังเอาไว้มากพอแล้ว พลังนั่นแหละที่จะทำให้คุณเห็นเหตุผลที่เหมาะสมในเรื่องนี้เอง ฟังแล้วดูแปลกดีมั้ย"
"ทำไมตัวอาจารย์เองถึงต้องการพลังล่ะครับ"
"ผมก็เหมือนกับคุณนั่นแหละคาร์ลอส ผมไม่ได้ต้องการพลังเลย ผมไม่อาจหาเหตุผลเพื่ออยากจะมีมันขึ้นมา ผมมีข้อสงสัยมากมายเหมือนกับคุณ และผมไม่เคยทำตามคำแนะนำที่ได้รับมาด้วย แต่แม้กระนั้นก็ตาม ผมก็ยังสะสมพลังไว้โดยไม่รู้ตัวจนเพียงพอ กระทั่งวันหนึ่งพลังส่วนตัวของผมได้ทำให้โลกที่ผมเคยอยู่หยุดลง"
"ทำไมเราถึงต้องมีความปรารถนาที่จะหยุดโลกด้วยครับ"
"ไม่มีใครอยากทำเช่นนั้นหรอก นี่คือประเด็นสำคัญ แต่มันอุบัติขึ้นมาเฉยๆ และเมื่อใดก็ตามที่คุณรู้ว่าการหยุดโลกนั้นเป็นเช่นไรแล้ว คุณก็จะรู้แจ้งขึ้นมาเองว่ามีเหตุผลดำรงอยู่ในเรื่องนี้ คุณควรจะรู้ว่าศิลปะอย่างหนึ่งของนักรบก็คือการที่จะทำให้โลกที่เขาเคยอยู่แตกทำลายลงด้วยเหตุผลเฉพาะอย่างหนึ่ง แล้วต่อมาเขาค่อยก่อสร้างโลกขึ้นมาใหม่ให้คงเดิมอีกครั้ง เพื่อจะดำเนินชีวิตต่อไป"
"เหตุผลเฉพาะอย่างหนึ่งในการทำให้โลกแตกทลายลงนั้น ได้แก่เหตุผลจำพวกไหนบ้างครับ"
"ผมบอกกับคุณไม่ได้หรอกคาร์ลอส เพราะมันต้องใช้พลังมากมายเหลือเกินเพื่อรู้เรื่องนี้ แต่สักวันหนึ่งเมื่อคุณมีชีวิตอย่างนักรบด้วยความสามารถของคุณเอง จากนั้นบางทีคุณอาจจะผนึกพลังส่วนตัวของคุณอย่างเพียงพอ เพื่อตอบคำถามนั้นด้วยตัวของคุณเองก็เป็นได้"
"..."
"คาร์ลอสผมได้สอนคุณเกือบทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่นักรบจำเป็นต้องรู้ เพื่อที่คุณจะสามารถตั้งต้นมีชีวิตในโลกนี้และสั่งสมพลังด้วยตนเองได้ แต่ผมก็รู้ว่าตอนนี้คุณยังทำไม่ได้ ผมจึงต้องอดทน ผมทราบดีว่าเรื่องนี้เป็นการต่อสู้ตลอดชีวิต ด้วยตัวของตัวเองในโลกของพลังนี้"
เมื่อคาร์ลอสกับดอนฮวนปีนขึ้นไปบนยอดสูงที่สุดของภูเขา ซึ่งเป็นหินเหล็กไฟ ทิวทัศน์เบื้องหน้าของพวกเขาคือผืนแผ่นดินอันไม่มีที่สิ้นสุด... ดอนฮวนได้บอกกับคาร์ลอสว่า
"คาร์ลอสจงฝังภาพเหล่านี้ไว้ในใจของคุณ สถานที่แห่งนี้เป็นของคุณ"
"ผมจะทำอะไรกับยอดเขาลูกนี้ได้ครับ"
"จงจำใส่ใจรูปลักษณะทุกส่วนของเขาลูกนี้ไว้ นี่เป็นสถานที่ที่คุณจะมาหาในการฝัน เพื่อพบกับพลังและสะสมพลัง ถ้าหากคุณไม่อาจมาที่นี่บ่อยครั้งได้ แต่คุณต้องมาที่นี่อีกครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะที่นี่เป็นสถานที่ที่คุณจะมาตาย"
"?!"
ตอนที่ 7
ท่าร่ายรำของนักรบ
ดอนฮวนกล่าวต่อไปว่า
"คาร์ลอส คุณจะต้องมาที่ยอดเขาแห่งนี้อีกคนเดียวครั้งแล้วครั้งเล่า จนคุณอาบชุ่มไปด้วยสิ่งเหล่านี้ และยอดเขานี้ซึมซาบอยู่ในตัวคุณคุณจะรู้เองในวันหนึ่งเมื่อมันเต็มเปี่ยมขึ้นมาว่า ยอดเขาแห่งนี้จะเป็นสถานที่ที่คุณร่ายรำเป็นครั้งสุดท้าย"
"การร่ายรำครั้งสุดท้ายของผมหมายถึงอะไรครับอาจารย์"
"ที่นี่เป็นทำเลที่มั่นในการยืนขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายของคุณ คาร์ลอสคุณจะตายที่นี่ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนก็ตามที นักรบทุกคนมีสถานที่ที่เขาจะตายเป็นที่ที่เขาเลือกสรรแล้ว ซึ่งซึมซาบอยู่ในความทรงจำอันไม่อาจลืมเลือนได้ มันป็นสถานที่ซึ่งเหตุการณ์อันเปี่ยมไปด้วยพลังได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้ มันเป็นสถานที่ที่เขาได้ทอดทัศนาความลึกลับมหัศจรรย์ทั้งหลาย มันเป็นแหล่งที่ความลับเปิดเผยออกมา และเป็นสถานที่ที่เขาสะสมพลังส่วนตัว นักรบจะถือเป็นหน้าที่ที่จะกลับมาสู่แหล่งที่เลือกสรรไว้เพื่อเคาะประตูของพลังและประจุมันเข้าไปในตัวเขา อาจจะมาที่นี่โดยการเดินมาหรือมาในความฝันก็ได้
เมื่อเวลาที่จะอยู่ในโลกนี้ของนักรบสิ้นสุดลง และเขารู้สึกได้ถึงความตายที่กำลังมาเยือน วิญญาณของเขาซึ่งพร้อมเสมอที่จะตาย จะโผบินมายังสถานที่ที่เขาเลือกสรรแล้วนี้ ที่นี่เองที่นักรบจะเริงระบำเป็นครั้งสุดท้ายเบื้องหน้าความตาย
นักรบแต่ละคนมีรูปแบบเฉพาะหรือท่าเฉพาะของพลังที่เขาพัฒนาขึ้นมาตลอดช่วงชีวิตของเขา มันเป็นท่าร่ายรำชนิดหนึ่งเป็นการไหวกายที่นักรบกระทำ เนื่องมาจากอิทธิพลของพลังส่วนตัวของเขา
หากนักรบที่กำลังจะตายมีพลังจำกัด การเริงระบำของเขาจะสั้น แต่ถ้าหากพลังของเขามหาศาล การร่ายรำของเขาจะมหัศจรรย์ยิ่งนัก แต่ไม่ว่าพลังของนักรบจะน้อยหรือมาก ความตายจะต้องหยุดเพื่อทัศนาการเริงระบำครั้งสุดท้ายบนผืนโลกนี้ของนักรบ ความตายไม่อาจนำนักรบผู้กำลังบรรยายเป็นครั้งสุดท้ายถึงความเหนื่อยยากในชีวิตไปจนกว่าการร่ายรำของเขาจะยุติลง"
"อาจารย์ครับ กรุณาสอนท่าร่ายรำนั้นให้แก่ผมด้วยเถอะครับ แม้ว่าผมจะยังไม่ได้เป็นนักรบก็ตาม"
"มนุษย์คนใดก็ตามที่กำลังล่าพลังอยู่ ก็กำลังฝึกท่าร่ายรำนั้นอยู่แล้ว โดยผมไม่ต้องสอนคุณหรอก คาร์ลอส ต่อไปคุณจะพัฒนาท่าร่ายรำต่างๆ ขึ้นมาได้เอง ในขณะที่คุณกำลังดำเนินชีวิต ท่าใหม่ๆ จะเกิดขึ้นมาเองในระหว่างที่คุณกำลังดิ้นรนเพื่อพลัง เพราะท่าร่ายรำของนักรบคือเรื่องราวแห่งชีวิตของเขาเอง มันเป็นการร่ายรำที่พัฒนาขึ้นมา ในขณะที่พลังส่วนตัวของเขาเติบโตขึ้น"
"ความตายจะหยุดทัศนาการร่ายรำครั้งสุดท้ายของนักรบจริงหรือครับ"
"นักรบเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น เขาเป็นมนุษย์ที่ถ่อมตน เขาไม่อาจเปลี่ยนแบบแผนในการตายของเขา แต่วิญญาณอันไม่แปดเปื้อนซึ่งประจุพลังของเขา ภายหลังจากที่ได้ต่อสู้มาอย่างโชกโชนนั้น จะสามารถหยุดความตายไว้ชั่วครู่ เป็นครู่หนึ่งที่นานพอที่จะทำให้นักรบเริงร่าเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อรำลึกถึงพลังของเขา"
"ภาพของความตายเป็นอย่างไรครับอาจารย์"
"มนุษย์ผู้รู้แจ้งจะทราบดีว่า ความตายคือผู้ที่จะมาดูเป็นประจักษ์ พยานการร่ายรำครั้งสุดท้ายของนักรบเพราะว่าเขาเห็น"
"หมายความว่าอาจารย์เคยเห็นการร่ายรำครั้งสุดท้ายของนักรบด้วยตัวของอาจารย์เองมาก่อนแล้วหรือครับ"
"เปล่าหรอก คุณไม่อาจเห็นเป็นประจักษ์พยานเช่นนั้นได้ ความตายเท่านั้นที่จะทำเช่นนั้นได้ ผมเคยเห็นความตายของผมเฝ้าดูผม และผมก็เคยเริงระบำเบื้องหน้าความตาย แต่เมื่อใกล้จะจบการร่ายรำนั้น ความตายยังไม่ชี้ไปยังทิศใดเลย และสถานที่ที่ผมเลือกสรรไว้แล้วก็ไม่สั่นสะเทือนเพื่อกล่าวคำอำลากับผม ดังนั้นผมจึงรู้ว่าเวลาที่ผมจะอยู่บนโลกนี้ยังไม่สิ้นสุดลงและผมยังไม่ตาย"
"ความตายของอาจารย์มีรูปร่างเหมือนคนมั้ยครับ"
"คาร์ลอสน่าขำจริงๆ ที่คุณถามผมเช่นนี้ คุณคิดหรือว่าคุณจะเข้าใจได้ด้วยการถามคำถามต่างๆ อย่างเดียวเท่านั้น ผมไม่คิดว่าคุณจะรู้ได้ด้วยการถาม และผมคือใครล่ะที่จะตอบออกไปได้ ความตายไม่ได้เป็นเหมือนคนหรอก มันน่าจะเป็นการปรากฏชนิดหนึ่ง แต่เราก็อาจจะเลือกพูดได้ว่าความตายไม่ได้เป็นอะไรเลย แต่ถึงกระนั้นมันก็เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง คุณจะพูดอย่างไหนก็ถูก ความตายเป็นอะไรก็ได้เท่าที่คุณอยากจะให้เป็น"
"อาจารย์คนเดียวที่เห็นอย่างนั้นหรือ หรือว่านักรบคนอื่นๆ ก็เห็นอย่างเดียวกันกับอาจารย์ครับ"
"ความตายเป็นชนิดเดียวสำหรับนักรบทุกคนที่มีการร่ายรำของพลัง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่เหมือนกัน ความตายมาดูเป็นประจักษ์พยานการเต้นรำครั้งสุดท้ายของนักรบ แต่ลักษณะที่นักรบเห็นความตายของเขานั้นเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล ความตายจึงอาจจะเป็นอะไรก็ได้เช่นเป็นแสงสว่าง เป็นคน เป็นพุ่มไม้ ก้อนหิน กลุ่มหมอก หรือเป็นปรากฏการณ์ที่เราไม่ทราบ"
"อาจารย์ครับ ลักษณะที่นักรบเห็นความตายของตนนั้นมันขึ้นอยู่กับสิ่งที่เขาได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาใช่หรือไม่ครับ"
"การที่คุณได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาอย่างหนึ่งอย่างใดนั้น มันไม่มีความหมายหรอกคาร์ลอส สิ่งที่มากำหนดการกระทำของคุณในลักษณะต่างๆ นั้น เป็นเรื่องของพลังส่วนตัวต่างหาก เพราะมนุษย์เป็นผลสรุปของพลังส่วนตัวของเขา และผลสรุปอันนี้จะกำหนดว่าเขาจะมีชีวิตอยู่หรือตายอย่างไร"
"พลังส่วนตัวคืออะไรล่ะครับ"
"พลังส่วนตัวคือความรู้สึก มันเป็นบางสิ่งเหมือนกับความมีโชคดี หรือจะเรียกมันว่าเป็นอารมณ์ก็ได้ พลังเฉพาะตัวคือสิ่งหนึ่งที่คุณได้มาโดยไม่สำคัญว่า คุณจะมีพื้นเพมาจากไหนอย่างไร...
ผมเคยบอกคุณแล้วว่านักรบคือพรานผู้ล่าพลัง และผมก็ได้เคยสอนคุณแล้วว่า จะล่าและสั่งสมพลังได้อย่างไร ความยุ่งยากของคุณซึ่งก็เป็นความยุ่งยากของพวกเราสมัยนี้ทุกคนก็คือ จะโน้มน้าวให้เชื่อในเรื่องนี้ได้อย่างไร ก่อนอื่นคุณต้องเชื่อขึ้นมาก่อนว่า พลังส่วนตัวอาจนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อชีวิตคุณได้ และคุณสามารถสะสมมันไว้ได้ แต่คุณก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก"
ตอนที่ 8 (จบ)
ความถ่อมตนของนักรบ
"อาจารย์ครับ ผมเชื่อได้เท่าที่ผมจะเชื่อได้เท่านั้นเองครับ" คาร์ลอส บอกกับดอนฮวนด้วยความรู้สึกจากใจจริง "แต่นั่นไม่ใช่การปลงใจเชื่ออย่างที่ผมพูดถึงหรอก เพราะการที่จะเชื่อตามความหมายของผมนั้น มันหมายความว่าต้องทำมันลงไปด้วยตัวเอง และต้องใช้พลังอย่างมากมายที่จะทำเช่นนั้น"
"มีหลายสิ่งหลายอย่างเหลือเกินที่คุณต้องทำ ตอนนี้คุณเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น มันน่าขำนะ ที่บางคราวคุณทำให้ผมรำลึกถึงตัวเองในสมัยก่อนได้ ผมก็เป็นเหมือนกับคุณแหละ ที่ไม่ต้องการเดินตามหนทางของนักรบ ผมเคยคิดว่า งานที่ต้องฝึกฝนมากมายเหล่านั้นเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะในเมื่อคนเราทุกคนต้องตายกันอยู่แล้วมันจะแตกต่างอะไรกันนักหนาในการทำตัวให้เป็นนักรบขึ้นมา แต่แล้วผมก็พบว่าผมคิดผิดถนัดโดยที่ผมต้องค้นพบความผิดพลาดนั้นด้วยตนเอง"
"..."
"คาร์ลอส เมื่อใดก็ตามที่คุณทราบชัดขึ้นมาว่าคุณคิดผิด และนั่นทำให้โลกแตกต่างออกไปด้วย เมื่อนั้นแหละที่คุณอาจพูดออกมาได้ว่า คุณเริ่มเชื่อขึ้นมาบ้างแล้ว ต่อจากนั้นคุณจะสามารถที่จะก้าวต่อไปด้วยตัวของคุณเอง และด้วยตัวของคุณเองนี่แหละ ที่คุณจะกลายเป็นมนุษย์ผู้รู้แจ้งขึ้นมาได้"
"มนุษย์ผู้รู้แจ้งเป็นบุคคลเยี่ยงไรครับ"
"มนุษย์ผู้รู้แจ้งคือ มนุษย์ผู้ใฝ่หาอย่างจริงใจจากความระกำลำบากเพื่อที่จะเรียนรู้ เขาคือผู้ที่จะทำได้ในการที่จะเปิดเผยความลึกลับของพลังส่วนตัวออกมาโดยที่ตัวเขาเองไม่รีบร้อนหรือวอกแวกเขวออกนอกทาง แต่ผมว่าคุณอย่าไปสนใจเรื่องผู้รู้แจ้งนี้เลย คุณควรใส่ใจในเรื่องของการสะสมพลังส่วนตัวเท่านั้น เพราะคุณยังไม่อยู่ในวิสัยที่จะมาถามเรื่องนี้"
"แม้แต่เรื่องการสะสมพลังผมก็ยังเข้าใจไม่ได้เลยครับ ผมมองไม่ออกเลยว่าอาจารย์จะพาผมไปจุดไหนกันแน่"
"คาร์ลอสการล่าพลังเป็นปรากฏการณ์ที่ประหลาด ในตอนแรกมันจะเป็นแค่แนวคิด แต่ในลำดับต่อมามันจะก่อตัวขึ้นมาเป็นขั้นๆ และหลังจากนั้นก็สบายเพราะมันจะเกิดขึ้นมาเฉยๆ"
"ความต่างระหว่างตัวผมกับอาจารย์คืออะไรครับ"
"คุณคือคนที่กำลังล่าพลังอยู่ แต่ผมคือนักรบที่มีพลังอยู่แล้ว"
"ผมทึ่งในกำลังกายของอาจารย์จริงๆ ครับ อาจารย์ดูไม่แก่เลยยามเคลื่อนไหว อาจารย์ทำอย่างไรครับ"
"ผมไม่ได้ทำอะไรเลย ร่างกายของผมสมบูรณ์ดีก็เท่านั้นเอง และผมก็เอาใจใส่กับตัวเองเป็นอย่างดี ไม่มีเหตุอะไรที่มาทำให้ผมเหนื่อยหรือไม่สบายใจ เคล็ดลับในเรื่องนี้ไม่ใช่อยู่ที่ว่าคุณทำอะไรให้กับตัวบ้างหรอกคาร์ลอส แต่มันอยู่ที่การไม่ทำอะไรให้กับตัวเองเสียมากกว่า"
"ขอบเขตในการใช้พลังมีแค่ไหนครับ"
"พลังไม่เป็นของผู้ใดจริงๆ หรอก เวลาเราสะสมพลังก็เพื่อสามารถนำมันมาใช้ในการช่วยให้ผู้อื่นสะสมพลังเท่านั้น พลังจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยนอกจากว่าผู้รับพลัง ได้ใช้มันให้เป็นประโยชน์ในการแสวงหาพลังส่วนตัวเพื่อการรู้แจ้งของเขาเท่านั้น... อันที่จริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ทำล้วนเกี่ยวข้องกับพลังส่วนตัวของเขา ดังนั้นในสายตาของผู้ที่ไม่มีพลัง การกระทำของผู้มีพลังจึงดูเหลือเชื่อว่าจะเป็นไปได้"
"อาจารย์ครับ บางครั้งผมคิดว่าผมรู้ แต่ส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยมีความเชื่อมั่นเลยครับ"
"คาร์ลอสความเชื่อมั่นของนักรบไม่ใช่ความเชื่อมั่นของคนทั่วไปเพราะคนทั่วไปหาความแน่นอนด้วยสายตาของนักสังเกตการณ์ และเรียกมันว่าความเชื่อมั่น แต่นักรบจะหาความสมบูรณ์แบบในแง่มุมของตนเองและเรียกมันว่าความถ่อมตน คนทั่วไปจะผูกติดกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง แต่นักรบจะผูกติดกับตัวเองเท่านั้น...
คาร์ลอสคุณเสาะหาความเชื่อมั่นแบบคนทั่วไป ทั้งๆ ที่คุณควรเสาะหาความถ่อมตนของนักรบ ความแตกต่างระหว่างสองสิ่งนี้เห็นได้ชัด เพราะความเชื่อมั่นแบบคนทั่วไปต้องอาศัยการเรียนรู้ในบางสิ่งบางอย่างด้วยความแน่ใจ แต่ความถ่อมตนแบบนักรบนั้นอาศัยความเพียบพร้อมในการกระทำและความรู้สึกของคนๆ หนึ่ง"
"ผมก็พยายามที่จะดำเนินชีวิตตามคำแนะนำของอาจารย์แล้วนะครับ ผมยอมรับว่าตัวผมอาจไม่ใช่คนที่ดีที่สุด แต่ผมก็พยายามทำดีที่สุดแล้ว นั่นใช่ความสมบูรณ์แบบหรือเปล่าครับ"
"ยังไม่ใช่ คุณต้องทำให้ดีกว่านี้ คุณต้องบังคับตัวเองให้พ้นไปจากข้อจำกัดตลอดเวลา"
"มันเป็นเรื่องสุดวิสัยสำหรับมนุษย์ทั่วไปครับอาจารย์ ไม่มีใครทำอย่างนั้นได้หรอกครับ"
"มีหลายต่อหลายอย่างที่คุณทำอยู่ตอนนี้ ที่คุณเห็นว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหล เมื่อตอนที่คุณเพิ่งเรียนกับผมใหม่ๆ สิ่งต่างๆ เหล่านี้มันไม่ได้เปลี่ยนไปมากหรอกคาร์ลอส แต่ความคิดเกี่ยวกับตัวคุณเองต่างหากที่เปลี่ยนไป... สิ่งที่เมื่อก่อนเป็นไปไม่ได้บัดนี้เป็นไปได้อย่างสมบูรณ์แล้ว และบางทีความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงตัวเองทั้งหมดของคุณเป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น ซึ่งในกรณีนี้วิถีทางที่เป็นไปได้มีเพียงหนึ่งเดียวสำหรับนักรบคือ เขาต้องลงมือกระทำฝึกฝนอย่างต่อเนื่องและสุดตัว... บัดนี้คุณรู้วิถีทางของนักรบเพียงพอที่จะกระทำตามนั้นแล้วนะคาร์ลอส เพียงแต่นิสัยและความเคยชินเก่าในตัวคุณมันคอยขวางทางอยู่เท่านั้น"